ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 07.30 น.วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563

06 ตุลาคม 2563, 08:16น.


7-9 ต.ค.รับมือพายุดีเปรสชั่น ฝนหนักอีสานตอนล่าง-ตอ.-กลาง-ใต้



          สัปดาห์นี้จะมีฝนอีกครั้ง ทำให้หลายพื้นที่ต้องเตรียมความพร้อมรับมือกันตั้งแต่วันที่ 7- 9ต.ค. กรมอุตุนิยมวิทยา เตือนพายุระดับ 1 (หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) คาดว่า จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนใต้(วันที่ 7 ต.ค.)หลังจากนั้นจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกลงสู่บริเวณอ่าวไทยตอนบน(วันที่ 8 ต.ค.) โดยจะมีผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในช่วงวันที่ 7-9 ต.ค.



          ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น(ในช่วงวันที่ 6-9 ต.ค.) ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง  สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ควรงดการเดินเรือในช่วงวันที่ 7-10 ต.ค.



กทม.เตรียมพร้อมรับฝนระลอกใหม่



          พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กำชับสำนักการระบายน้ำ จัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดอ่อนและจุดเสี่ยงน้ำท่วมขังทั่วพื้นที่กรุงเทพฯและให้ประสานสำนักการโยธาเตรียมความพร้อมวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ ให้พร้อม



          ด้านนายสมพงษ์ เวียงแก้ว ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพฯเป็นเมืองเก่า ก่อสร้างท่อระบายน้ำมานานแล้ว บางท่อมีขนาดเล็กเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30-60 ซม. ส่วนขนาดใหญ่สุดประมาณ 80 ซม.เนื่องจากออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำฝนในปริมาณที่ฝนตกไม่เกิน 60 มม./ชม. แต่ปัจจุบันฝนที่ตกลงมามีปริมาณมากกว่า 100 มม./ชม.ทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทันทำให้เกิดน้ำท่วมขัง กรุงเทพมหานคร ปรับปรุงถนนใหม่กำหนดให้มีการวางท่อระบายน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.20 ม. รวมถึงการก่อสร้างท่อลอด Pipe Jacking จะใช้ท่อระบายน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.20 ม. เช่นกันและเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำลงคูคลอง



เริ่ม 1 พ.ย. สปสช. ยกระดับ บัตรทอง ผู้ป่วยนอกรักษาได้ทุกที่



          นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) โดยที่ประชุมเห็นชอบข้อเสนอยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามนโยบายของรมว.สาธารณสุข กรณีผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) สามารถไปรับบริการที่ไหนก็ได้และเห็นชอบเรื่องเร่งด่วน 4 เรื่อง  

1.กระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานคร ขยายเครือข่ายการให้บริการปฐมภูมิในระบบบัตรทอง จัดทำระบบตรวจสอบสิทธิผ่านแอปพลิเคชัน รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลคลินิกหมอครอบครัวและผู้ป่วย และมีระบบยืนยันตัวตนของประชาชนในการรับบริการผ่านบัตรประชาชน จะเริ่มต้นวันที่ 1 พ.ย.นี้  



2.ผู้ป่วยในไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว เดิมผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่เข้ารับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล มีส่วนหนึ่งต้องนอนรักษาต่อเนื่องด้วยสาเหตุทางการรักษา ซึ่งในกรณีที่ใบส่งตัวครบกำหนดในการใช้สิทธิบัตรทองต่อเนื่อง ผู้ป่วยหรือญาติต้องกลับไปที่หน่วยบริการประจำเพื่อขอใบส่งตัวใหม่ ทำให้ไม่สะดวกและเป็นปัญหา โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ต่างจังหวัด สปสช.ได้ปรับระบบให้ผู้ป่วยใน สามารถรักษาต่อเนื่องได้ทันทีตามการวินิจฉัยของแพทย์โดยไม่ต้องใบส่งตัว ใช้เพียงบัตรประชาชนตรวจสอบตัวตนผู้ป่วย ซึ่งจะนำร่องในพื้นที่เขต 9 นครราชสีมา เริ่มวันที่ 1 พ.ย.นี้ ส่วนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเริ่ม 1 ม.ค. 2564 ก่อนขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป

3.โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม โรคมะเร็งเป็นภาวะเจ็บป่วยที่ต้องรับการรักษาโดยเร็ว แต่ด้วยขั้นตอนการส่งตัวผู้ป่วยสิทธิบัตรทองบางครั้งอาจเป็นอุปสรรคทำให้ผู้ป่วยมะเร็งไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้โดยเร็ว ดังนั้น สปสช. ได้ปรับระบบการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ โดยผู้ป่วยที่ถูกวินิจฉัยแล้วว่าเป็นมะเร็งจะได้ใบรับรองและประวัติ หรือ Code เพื่อเลือกไปรับบริการที่อื่นผ่าน 3 ช่องทาง คือ สายด่วน สปสช. 1330, แอปพลิเคชัน สปสช. และติดต่อที่หน่วยบริการโดยตรง เฉพาะที่โรงพยาบาลรักษามะเร็งที่มีความพร้อมเข้าร่วม ให้บริการตามโปรโตคอลรักษามะเร็ง บริการระบบสาธารณสุขทางไกล (Telehealth) บริการปรึกษาเภสัชกรทางไกล (Tele pharmacy) และการให้ยาเคมีบำบัดที่บ้าน (Home Chemotherapy) โดยค่าบริการให้ส่งข้อมูลเบิกจ่ายมาที่ สปสช. ซึ่งได้มีการออกแบบการบริหารจัดการไว้แล้ว จะเริ่มในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมทั่วประเทศ ในวันที่ 1 ม.ค. 2564

4. ย้ายหน่วยบริการได้สิทธิทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน เป็นปัญหาที่ประชาชนเรียกร้องมาระยะหนึ่ง ด้วยติดขัดการเข้ารับรักษาในช่วงของการเปลี่ยนหน่วยบริการที่ตามระบบกำหนดให้ต้องรอ 15 วัน แต่ด้วยระบบเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวหน้า โดยเฉพาะการเชื่อมต่อข้อมูลไปยังหน่วยบริการ ทำให้ สปสช. สามารถปรับระบบแก้ปัญหาช่องว่างนี้ได้ ประชาชนสามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการใหม่ได้ทันทีหลังเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ รวมถึงกรณีที่ประชาชนเปลี่ยนหน่วยบริการเองผ่านแอปพลิเคชัน สปสช. โดยหน่วยบริการสามารถพิสูจน์สิทธิและเบิกจ่ายค่าบริการผ่านบัตรประชาชน Smart card ทั้งนี้จะเริ่มพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 ม.ค.2564

          นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า หลังจากที่บอร์ด สปสช. ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ได้มอบให้คณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องและ สปสช. ปรับปรุงระเบียบ ประกาศที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการดำเนินตามนโยบาย และเสนอให้ประธานบอร์ด สปสช. ลงนามต่อไป



CR:สปสช.



กรรมการวัคซีนเห็นชอบงบฯ จองวัคซีนกันโควิด-19 ให้คนไทย 33 ล้านคน



          ความคืบหน้าการเร่งรัดการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด -19 สำหรับประชาชน ในโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตวัคซีนโควิด-19 จะมีการออกประกาศสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ตามมาตรา 18 ของพ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การจัดหาวัคซีนสำหรับใช้ในประเทศไทยล่วงหน้าครอบคลุมประชากรของประเทศไทยร้อยละ 50 ภายใต้กรอบวงเงิน 2,930 ล้านบาท แบ่งเป็นจากบริษัทผู้ผลิตที่มีความก้าวหน้าการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 3 ครอบคลุมประชากรร้อยละ 30 และจองผ่านโครงการโคแว็กซ์ ขององค์การอนามัยโลก ครอบคลุมประชากรร้อยละ 20  



          นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า แผนการรับวัคซีนคือร้อยละ 50 ของประชากร หรือคิดเป็นประชากร 33 ล้านคน โดย 1 คน ต้องได้รับวัคซีน 2 โดส เท่ากับว่าต้องใช้วัคซีนราวๆ 66 ล้านโดส ส่วนราคาวัคซีนยังไม่มีความชัดเจน แต่สมมติว่าราคาวัคซีนอยู่ที่โดสละ 350 บาท เท่ากับว่าต้องใช้งบประมาณราวๆ 20,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เฉพาะที่ต้องมีการจองก่อนล่วงหน้านั้นจะใช้งบประมาณ 2,930 ล้านบาท แหล่งที่มาของเงินอาจจะเอามาจากพ.ร.ก.เงินกู้เพื่อโควิด-19 หรือจะใช้งบกลางก็ได้ ซึ่งการเข้าไปจองวัคซีนล่วงหน้าเป็นช่องทางที่จะทำให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนเร็ว ใกล้เคียงกับประเทศผู้ผลิต ขณะนี้ทั่วโลกมีประมาณ 10 บริษัทที่มีความก้าวหน้าในการทดลองวัคซีนในคนระยะที่ 3 คาดว่าการเจรจาจะแล้วเสร็จในเดือนต.ค.นี้ แต่เนื่องจากอยู่ระหว่างการเจรจาจึงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้  



          หากได้วัคซีนมาคงเป็นลักษณะการทยอยเข้ามา และไทยก็ต้องทยอยใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดบนหลักวิชาการ โดยขณะนี้อนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคภายใต้คณะกรรมการวัคซีนฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะจัดสรรให้กับกลุ่มใดก่อน ซึ่งตามหลักทั่วโลกกลุ่มที่ต้องได้รับวัคซีนก่อนคือบุคลากรการแพทย์ เพราะต้องทำงานหน้าด่าน เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ส่วนแผนการที่ประเทศไทยต้องการวัคซีนสำหรับคนในประเทศจริงๆต้องอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60-70 ของประชากร ซึ่งเป็นแผนระยะถัดไป



          สำหรับความคืบหน้าการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไทย ชนิด mRna โดยคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรายงานว่าโรงงานผลิตวัคซีนต้นแบบจะสามารถผลิตวัคซีนต้นแบบและส่งให้กับไทยประมาณเดือน ม.ค.2564 เพื่อเดินหน้าทดลองในคนเฟส 1 และเฟส 2 ต่อไป ขณะที่วัคซีนชนิด DNA ของบริษัทไบโอเนท – เอเชีย จำกัด  อยู่ระหว่างการยื่นขออนุญาตวิจัยในคนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)



 

ข่าวทั้งหมด

X