ผบ.ตร.ประเดิมงานแรก แถลงคดี 'น้องชมพู่’ คาดสรุป คนใกล้ชิด อุ้มตัวไปจากบ้าน
กลายเป็นคดีที่สังคมเฝ้าจับตา หลังยืดเยื้อยาวนานกว่า 4 เดือน กรณีการเสียชีวิตปริศนาของน้องชมพู่ อายุ 3 ขวบ พบศพอยู่บนภูเหล็กไฟ พื้นที่บ้านกกกอก หมู่ 2 ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่กลางเดือนพ.ค.ห่างจากบ้านพัก 5 กิโลเมตร และมีการชันสูตรพลิกศพมากถึง 3 ครั้ง นับเป็นคดีสะเทือนขวัญ ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม
13.00 น.บ่ายนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะอธิบายถึงบทสรุปทางคดีตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ และจะมีการแจกคลิปวิดีโอพรีเซ็นเทชั่นเล่าถึงการเชื่อมโยงต่างๆ ส่วนเรื่องพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ มีความคืบหน้าไปประมาณร้อยละ 99 อีกร้อยละ 1 ยังเหลือผลตรวจเส้นผมที่หล่นอยู่ใกล้กับจุดที่พบศพน้องชมพู่ ซึ่งส่งไปตรวจที่สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ เพื่อตรวจหาเจ้าของเส้นผมดังกล่าว รายงานข่าวแจ้งว่า หากตรวจเส้นผมแล้วไม่มีพยานหลักฐานใดเพิ่มเติม ก็ต้องพักการสืบสวนสอบสวนไปก่อน จนกว่าจะมีข้อเท็จจริงใหม่ๆ เกิดขึ้นในอนาคตหากมีพยานหลักฐานใหม่ ก็สามารถเริ่มการสืบสวนต่อได้ ภายในอายุความ 20 ปี
รายงานระบุว่า จากรูปคดีตำรวจสรุปได้ว่า มีคนร้ายที่อุ้มตัวน้องชมพู่ออกไปจากบ้านแน่นอน โดยคนร้ายเป็นคนใกล้ชิด มีความคุ้นเคยกับน้องชมพู่เป็นอย่างดี ที่สำคัญจากการตรวจสอบพฤติกรรมน้องชมพู่ไม่เคยไปไหนด้วยตัวเอง และยอมให้ไม่กี่คนอุ้มได้ ที่ผ่านมาเคยมีพยานยืนยันว่า คนในหมู่บ้านด้วยกันเองมาขออุ้มน้องชมพู่ก็ไม่ยอมให้อุ้ม เอาแต่ร้องไห้ สรุปคดีว่า เด็กไม่ได้หลงแล้วไปเสียชีวิตเองแน่นอน คนร้ายมีความใกล้ชิดเข้านอกออกในบ้านได้ รวมทั้งรู้จักพื้นที่เขาเหล็กไฟ ที่นำศพไปทิ้งด้วย เพียงแต่ในขณะนี้มูลเหตุจูงใจอาจไม่ตั้งใจที่จะฆาตกรรม
ด้าน พล.ต.ต.อรรคพงศ์ พิมลศิริ ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร ส่งมอบสำนวนเอกสารทั้งหมดให้ผบ.ตร.ไปแล้ว ส่วนรายละเอียดในพื้นที่ ตร.ภาค 4 ขอนแก่น ถอนกำลังออกไปหมดแล้ว ยังคงเหลือชุดของผบ.ตร.ที่ยังวางกำลังอยู่ในพื้นที่บางส่วน
นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ลุงของน้องชมพู่ พร้อมทนายความเตรียมจะเดินทางไปร่วมรับฟังการแถลงข่าวด้วย
คุรุสภา เตรียมแจ้งความโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์
การดำเนินคดีกับพี่เลี้ยงเด็กและโรงเรียนสารสาสน์วิเทศ ราชพฤกษ์ พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี กล่าวถึง รายละเอียดการดำเนินคดีกับโรงเรียนและคนที่ก่อเหตุ
-บ่ายนี้ คุรุสภา จะแจ้งความดำเนินคดีที่เกี่ยวกับโรงเรียน
-เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับคนที่ก่อเหตุเบื้องต้นมี 8-9 คน
-ผู้ปกครองแจ้งความคนที่ทำร้ายเด็กทั้งหมด 6 คน คือ ครูเปิ้ล และน.ส. อรอุมา ปลอดโปร่ง หรือพี่เลี้ยงจุ๋ม ถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น และทารุณกรรมเด็ก ซึ่งเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาและประกันตัวออกไปแล้ว ส่วนอีก 4 คน คือ นายมาวิน, ครูนิ, ครูอิ๋ว และครูแพร อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน
-เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจสอบภาพวงจรปิดครบหมดแล้ว ถ้าผู้ปกครองคนใดที่ต้องการภาพวงจรปิด สามารถมาเซฟเอาไปดูได้ ส่วนกรณีที่ไม่มีหลักฐาน ถ้าได้ยินลูกหลานเล่าให้ฟังว่าอย่างไรก็มาให้การกับเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะรวบรวมหลักฐานต่อไป
-ตรวจสอบต่อ กรณีครูไม่มีใบอนุญาต 61 คน ทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ
ผลสอบกล้องวงจรปิด 10 ห้อง พบทำร้ายเด็ก 36 ครั้ง
-ผลการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในระดับอนุบาลทั้ง 10 ห้อง พบว่า ห้อง E พี่เลี้ยงจุ๋ม ทำความรุนแรงกับเด็ก 29 เหตุการณ์ มีเด็กเป็นผู้เสียหาย 10 คน ห้อง C ของครูอิ้ว 3 ครั้ง ห้องเรียนอนุบาลอาเซียน ABP ของครูแพร 3 ครั้ง และห้อง B จำนวน 1 ครั้ง รวมทั้งหมด 36 ครั้ง ส่วนระดับเด็กเล็ก ห้องครูแพรวรวม 16 ครั้ง
คาดฝีมือกลุ่มแนวร่วม วางระเบิด ขบวนรถทหารสับเปลี่ยนกำลังของ ร.15 พัน 1
เหตุคนร้ายลอบวางระเบิดขบวนรถสับเปลี่ยนกำลังทหาร พัน ร.15 พัน 1 บริเวณถนนสาย 43 ขาล่อง จ.ปัตตานี พื้นที่ หมู่ 4 ต.ปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา เจ้าหน้าที่ได้สรุปยอดทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ บาดเจ็บ 6 นาย และเสียชีวิต 1 นาย ทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ประกอบด้วย
1.จ่าสิบเอก สัญญา บุรีรักษ์ มีอาการ หูอื้อ มึนหัว เลือดออกจมูก
2.สิบโท จักรกฤษ เพชรทอง ได้รับบาดเจ็บบริเวณหลังหูขวา
3.สิบตรี เอกราช วิชาศาสตร์ อาการถูกสะเก็ดบริเวณต้นขาขวา บาดเจ็บสาหัส และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลปัตตานี เพื่อผ่าตัดนำสะเก็ดระเบิดออก
4.พลทหาร อารียะ สาและ อาการถูกสะเก็ดบริเวณไหล่ขวา
5.พลทหาร พงศกร ไหมร่วง อาการถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณหลังด้านขวา
6.พลทหาร ฮารอฟัด มะเซ็ง อาการถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณหัวเข่า
7.พลทหาร อรรถพล พลายชนะ ถูกสะเก็ดบริเวณหลังด้านขวา มีเลือดคั่งในปอด ส่งต่อโรงพยาบาลปัตตานี และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ด้านหน่วยข่าวความมั่นคง เปิดเผยว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้น่าจะเป็นการตอบโต้ของกลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบในพื้นที่ 4 อำเภอชายแดน จ.สงขลา กลุ่มของ นายอับดุล สอเหร็ม ซึ่งเป็นแกนนำแนวร่วมระดับปฏิบัติการทีมเดียวกับ นายเจะอารง บาเฮง แกนนำ 9 หมายจับ ที่ปะทะกับเจ้าหน้าที่ และถูกวิสามัญไปเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 6 ก.ย.ในพื้นที่ อ.เทพา
ขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงกำลังกระจายกันลงพื้นที่สืบสวนหาเบาะแส เพื่อเร่งติดตามคนร้ายกลุ่มนี้และสั่งเพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน รวมทั้งตามจุดตรวจ จุดสกัดต่างๆในพื้นที่ เพื่อป้องกันการก่อเหตุหรือลอบทำร้าย
ทุกหน่วยงานเร่งทำคดีบอส อยู่วิทยา ด้าน 'อ.วิชา' ยืนยัน คดีไม่ล้มแน่นอน
นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน กล่าวถึง ความคืบหน้าคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ว่า องค์กรที่เกี่ยวข้องได้เดินหน้าในส่วนของตนเอง
-กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษแล้ว
-คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นำสำนวนเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่การไต่สวนต่อไป ส่วนการตรวจสอบเรื่องการเงิน ป.ป.ช. จะเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งขณะนี้เริ่มดำเนินการตรวจสอบแล้ว
-เจ้าหน้าที่ยังคงให้การคุ้มครองพยานปากสำคัญอยู่ จนกว่าจะมีการเบิกความเสร็จเรียบร้อย
-สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ยังคงตามต่อ ซึ่งคณะกรรมการชุดตน ก็จะประสานกับป.ป.ท.ต่อไป
นายวิชา กล่าวว่า คดีไม่ล้ม แน่นอน รอเวลานำตัวจากต่างประเทศกลับมาดำเนินคดี ส่วนความผิดที่นอกสำนวนคดีนายวรยุทธ มองว่า ทิศทางสามารถไปต่อได้หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า เรื่องคดีอื่นๆ ที่จะไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ อัยการ ตั้งคณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว เพื่อดำเนินการไปสู่การฟ้องร้องก็ขอให้รอฟังการส่งให้ศาลพิจารณา