ทันสถานการณ์โลก 06.30 น.วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563

02 ตุลาคม 2563, 06:23น.


นักบิน ดีดตัวออกจากเครื่องได้ทัน! เครื่องบินสเตลธ์ สหรัฐฯ ชนกลางอากาศกับเครื่องบินบรรทุกน้ำมัน



           เว็บไซต์เดลี่เมล รายงาน และเผยแพร่คลิปวิดีโอนาทีสุดช็อกเมื่อวันอังคารที่ 29 ก.ย.เครื่องบินขับไล่สเตลธ์ F-35 ของหน่วยนาวิกโยธิน สหรัฐฯ ประสบอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ชนกลางอากาศกับเครื่องบินบรรทุกน้ำมัน KC-130J ขณะเครื่องบินสเตลธ์กำลังจะเติมน้ำมันกลางอากาศ เหนือท้องฟ้าเขตชนบทห่างไกลในเขตอิมพีเรียล เคาน์ตี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ทำให้เครื่องบินสเตลธ์ ตกกระแทกพื้นไฟลุกไหม้ โชคดีมากที่นักบินสามารถดีดตัวออกจากเครื่องบินได้ทันเวลา และสามารถใช้ร่มชูชีพฉุกเฉินลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย



          เหตุการณ์ระทึกครั้งนี้ มีคนเห็นเหตุการณ์และใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปวิดีโอไว้ได้ และคลิปดังกล่าวได้ถูกนำไปโพสต์ลงใน Aviation Daily เผยให้เห็นนาทีเครื่องบินขับไล่สเตลธ์ มูลค่าลำละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 3,000 ล้านบาท ดิ่งตกลงสู่พื้นจนเกิดไฟลุกท่วมเป็นลูกไฟลุกโชนขึ้นมา ขณะที่กลุ่มคนที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งพากันตื่นตระหนกตกใจ อยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุ จึงไม่ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุครั้งนี้



           ด้านหน่วยนาวิกโยธิน สหรัฐฯ ยืนยันว่า นักบินประจำเครื่องบินสเตลธ์ รอดชีวิตจากอุบัติเหตุ หลังจากดีดตัวออกจากเครื่องบินได้ทันเวลา แต่ก็ได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนเครื่องบินบรรทุกน้ำมัน สามารถขอลงจอดฉุกเฉินได้อย่างปลอดภัยที่ทุ่งหญ้าใกล้กับสนามบินเธอร์มอล และลูกเรือทั้ง 8 นาย บนเครื่องบินบรรทุกน้ำมัน KC-130J ปลอดภัย




สภาสหรัฐฯ ลงมติวันนี้ เตรียมออกมาตรการเยียวยาจากพิษโควิด-19




          นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จะเข้าพบนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ อีกครั้ง ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติร่างกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้ว่านายมนูชินและนางเพโลซี ยังไม่สามารถตกลงในการเจรจาได้แต่ทั้งสองฝ่ายระบุว่าการเจรจาจะยังคงดำเนินต่อไป นักลงทุน มองว่าเป็นสัญญาณบวกที่แสดงว่าทั้งสองฝ่ายยังมีโอกาสตกลงกันได้



          พรรคเดโมแครต เสนอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 2,200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่พรรครีพับลิกัน เสนอวงเงิน 1,500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสกำลังหาทางประนีประนอมกันในประเด็นการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว



นักลงทุน ติดตามการเผยแพร่ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯชี้แนวโน้มศก.



          ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดในวันพฤหัสบดีในแดนบวก นักลงทุนคาดหวังว่าสหรัฐฯจะมีมาตรการเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 รอบใหม่ หลังจากข้อมูลพบว่าชาวอเมริกันยื่นขอสวัสดิการว่างงานรายใหม่เป็นครั้งแรกลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง และในวันนี้นักลงทุนจับตาการเผยแพร่ข้อมูลการจ้างงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ที่จะชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจได้ชัดเจนขึ้น ขณะที่เมื่อเดือนส.ค.รายได้ส่วนบุคคลลดลง ย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่รัฐบาลต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

-ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 35.20 จุด หรือร้อยละ 0.13  ปิดที่ 27,816.90 จุด



-เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 17.80 จุด หรือร้อยละ 0.53 ปิดที่ 3,380.08 จุด



-แนสแดค เพิ่มขึ้น 159.00 จุด หรือร้อยละ 1.42 ปิดที่ 11,326.51 จุด

          อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ทำให้ราคาทองคำ ตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 20.80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดที่ 1,916.30 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์




อิตาลี กำลังพิจารณาขยายภาวะฉุกเฉินนานถึง ม.ค.64



          ความกังวลเรื่องโรคโควิด-19 ส่งผลต่อกระทบราคาน้ำมัน เนื่องจาก หลายประเทศมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและกลับไปล็อกดาวน์พื้นที่ที่พบการติดเชื้อ



-สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 1.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดที่ 38.72 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล



-เบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 1.37 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดที่ 40.93 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

-ล็อกดาวน์กรุงมาดริด ประเทศสเปน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กำลังเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป



-นายกเทศมนตรีกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย สั่งการนายจ้างทุกบริษัทให้พนักงานทำงานจากที่บ้านอย่างน้อยร้อยละ 30



- ขณะเดียวกันหลายประเทศในยุโรปก็รายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์



-อิตาลี กำลังพิจารณาที่จะขยายการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ออกไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2564 จากเดิมที่มีกำหนดจะสิ้นสุดช่วงกลางเดือนต.ค.นี้ การประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องผ่านระบบราชการที่ล่าช้า 




มาเลย์ เตือนโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่



          นายนูร์ ฮิชาม อับดุลลาห์ ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การสุขภาพมาเลเซีย กล่าวว่า หลังจากพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 260 คน นับว่าเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่เมื่อต้นเดือนมิ.ย.หลังจากมีการเลือกตั้งท้องถิ่นที่รัฐซาบาห์ ซึ่งเป็นรัฐใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ การที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นนี้อาจจะมองว่าเป็นการเริ่มต้นการระบาดระลอกใหม่ก็ได้และเรียกร้องให้ประชาชนยังคงรักษาวินัยเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคมและหลีกเลี่ยงการเดินทางออกจากบ้านหากไม่มีความจำเป็น ขึ้นอยู่ที่ประชาชนที่จะทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากชาวมาเลเซียเคยทำได้และจะทำได้อีกครั้ง มาเลเซียรอดพ้นจากการเกิดการระบาดรุนแรงได้ เนื่องจาก การใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด



“เสนอปิดไมค์” ในการดีเบตศึกชิงผู้นำสหรัฐฯ ครั้งต่อไป

          คณะกรรมการจัดการอภิปรายโต้วาทีระหว่างคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะปรับเปลี่ยนกฎกติกาเพื่อให้การดีเบตมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น หลังจากการดวลฝีปากนัดแรกมีความวุ่นวายเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน พูดแทรกก่อกวนนายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต และพิธีกร ตลอดเวลาในการดีเบต นาน 90 นาที แต่ทั้งสองฝ่ายต่างโดนตำหนิพอกันกับการใช้ถ้อยคำรุนแรงด่าทออีกฝ่าย โดยนายทรัมป์ ดูถูกระดับสติปัญญาของนายไบเดน ส่วนนายไบเดน เรียกนายทรัมป์ว่าเป็นประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดเท่าที่สหรัฐฯเคยมีมา



          คณะกรรมการว่าด้วยการโต้วาทีของผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า จะมีการประกาศมาตรการใหม่เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะมีเครื่องมือเพิ่มขึ้นในการรักษาความเป็นระเบียบสำหรับการโต้วาทีที่เหลืออีก 2 นัด ในวันที่ 15 ต.ค.และ 22 ต.ค.โดยมีข้อเสนอให้ใช้วิธีปิดไมค์ ตามที่นายไบเดนเสนอเพื่อไม่ให้นายทรัมป์พูดแทรก



          ข้อมูลจากบริษัทนีลเซน ระบุว่า ชาวอเมริกันติดตามชมการถ่ายทอดสดการดีเบตครั้งแรกเพียง 73.1 ล้านคน เปรียบเทียบกับจำนวน 84 ล้านคนที่ดูการดีเบตครั้งแรกระหว่างนายทรัมป์กับนางฮิลลารี คลินตัน เมื่อปี 2016



เฟซบุ๊ก สั่งแบนโฆษณาจงใจลดความชอบธรรมผลเลือกตั้งสหรัฐฯ



          กรณีการดีเบตนัดแรกที่ นายทรัมป์ กล่าวว่า การลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์นำไปสู่การทุจริตการเลือกตั้ง และเขาไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่มาจากวิธีการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ ทำให้นายร็อบ เลเธิร์น ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ของเฟซบุ๊ก เปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ว่า เฟซบุ๊กจะแบนโฆษณาทางการเมืองที่มีเนื้อหาทำลายความชอบธรรมของผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ รวมถึงโฆษณาที่มีเนื้อหาทำให้เชื่อว่า วิธีของการลงคะแนนเสียงเป็นช่องทางในการโกงผลเลือกตั้งหรือพยายามชักจูงไม่ให้ประชาชนออกไปเลือกตั้ง มาตรการดังกล่าวจะมีผลทันทีบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม โดยใช้กับการโฆษณาเท่านั้น และยังไม่รวมถึงเนื้อหาจากผู้ใช้งานบนนิวส์ฟีด

ข่าวทั้งหมด

X