รัฐบาลเร่งเพิ่มโอกาสการค้าการลงทุน ฟื้น FTA ไทย-อียู

27 กันยายน 2563, 14:15น.


          น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร่วมมือระหว่างภูมิภาคโดยเฉพาะเรื่องการค้าการลงทุนเพราะเป็นกลไกสำคัญที่จะส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกประกอบด้วยสมาชิก 16 ประเทศ คือ สมาชิกอาเซียน 10 ประเทศและคู่เจรจาอีก 6 ประเทศได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย (ยังไม่ร่วมลงนาม) มีประชากรรวมกัน 3,600 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 48.1 ของประชากรโลก โดยในปีที่แล้ว ประเทศสมาชิกมีมูลค่าจีดีพีกว่า 28 ล้าน 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณร้อยละ 32.7 ของจีดีพีโลก ซึ่งการลงนาม RCEP จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจและส่งเสริมระบบกฎเกณฑ์การค้าแบบพหุภาคี และมั่นใจว่าจะทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจโลกและภูมิภาคเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ



          น.ส.รัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของประเทศอินเดียแม้ยังไม่ได้ร่วมลงนาม RCEP แต่ประเทศสมาชิกยังเปิดโอกาสให้อินเดียลงนามเมื่อมีความพร้อมอาเซียนได้มีความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน–อินเดีย (AITIGA) ตั้งแต่ 2553 ซึ่งจะมีการทบทวนความตกลงให้ทันสมัย และเอื้อต่อการค้าและการลงทุน รวมถึงจะมีการพิจารณาเรื่องการเปิดตลาด การลดอุปสรรคในมาตรการที่มิใช่ภาษี การลดความล่าช้าและยุ่งยากในพิธีการศุลกากร และอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งจะช่วยผลักดันการค้าระหว่างอาเซียนกับอินเดียให้บรรลุเป้าหมายที่ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2565 มากไปกว่านั้น อาเซียนยังได้มีการขยายความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป และสหภาพยูเรเซีย (เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน อาร์เมเนีย และรัสเซีย) ถึงจะยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ข้อตกลงการค้าเสรี แต่ก็เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นที่ดี ที่ได้มีการลงนามเห็นชอบร่วมกันในเดือนสิงหาคม เรื่องแผนงานส่งเสริมการค้าการลงทุน และการหารือเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีในการออกกฎระเบียบ เท่ากับว่า อาเซียนได้ขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกว้างไกลกว่าภูมิภาคเอเซียแล้ว



          นอกจากนี้ยังมีการฟื้นการเจรจาการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (อียู) 27 ประเทศ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญโดยจะเป็นการขยายโอกาสการส่งออกสินค้าไทยจากที่ในปี 2562 อียูเป็นคู่ค้าอันดับ 5 ของไทย รองจากอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ การค้าระหว่างไทย-อียู มีมูลค่ากว่า 44,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วนการค้าร้อยละ 9.2 ของการค้าไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปอียู มูลค่า 23,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ความตกลงการค้าเสรีไทย-อียู ที่ครอบคลุมเรื่องการค้า สินค้า บริการ และการลงทุน หากมีการลดภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการทั้งของไทยและอียูในระยะยาวจะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวได้ถึงร้อยละ 1.28 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 205,000 ล้านบาท สินค้าส่งออกของไทยมีโอกาสขยายตัว เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน สิ่งทอ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหาร เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก เป็นต้น ในส่วนข้อกังวลจากภาคประชาสังคมเรื่องการเข้าถึงยาและการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่สืบเนื่องจากมาตรฐานการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่สูงขึ้น กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาอย่างรอบคอบ รับฟังทุกด้าน เตรียมความพร้อมเพื่อการเจรจาอย่างรัดกุมต่อไป โดยผลของการศึกษาและการฟื้นการเจรจาค้าเสรีฯ กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้ครม.พิจารณาในอีกไม่นานนี้



          เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกคลี่คลาย การบริโภคและความต้องการสินค้าระหว่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้น การค้าเสรีจะทำให้สินค้าส่งออกไทยไม่ต้องแบกรับอัตราภาษี อย่างไรก็ตาม การค้าเสรีจะเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อภาคเอกชนไทยมีศักยภาพทางการแข่งขันในเรื่องคุณภาพ และการผลิตได้ตามความต้องการของตลาด ส่วนการค้าเสรีที่อยู่ในขั้นพิจารณาว่าจะไปเจรจาหรือไม่ เช่น ไทย-อียู จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อกำหนดท่าทีเจรจา และการเตรียมความพร้อมที่เกี่ยวข้อง



....

ข่าวทั้งหมด

X