การต่ออายุพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า จะมีการหารือต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือน ในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ วันจันทร์นี้ หลังพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะครบกำหนดวันที่ 30 กันยายนนี้ ว่าทุกคนทราบดีว่าการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีจุดประสงค์ และได้กำชับให้มีการป้องกันการลักลอบข้ามมาตามแนวชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ และให้เข้มงวดมาตรการต่างๆ ต่อไป เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ยังเกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึง ประเทศเพื่อนบ้านของเรา แต่สถานการณ์ในไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ได้รับคำชื่นชมจากต่างประเทศ และนำบทเรียนจากประเทศไทย ไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ
ส่วนการเปิด-ปิดน่านฟ้าของไทยนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังต้องมีการหารือกันต่อไป โดยต้องคำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ว่าจะสามารถผ่อนคลายเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องเข้ามาดูแลกิจการในไทยที่อาจจะเข้ามาในระยะเวลาสั้นๆจึงต้องหาแนวทางว่าจะดูแลกลุ่มนี้อย่างไร ส่วนกรณีของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาในอนาคต ก็ต้องเตรียมมาตรการรองรับในเรื่องสถานที่กักตัว
สำหรับข้อเสนอให้ลดระยะเวลากักตัวจาก 14 วัน เหลือ 7 วัน โดยมีการตรวจหาเชื้อแบบเข้ม 2 ครั้ง เมื่อกักตัวครบกำหนด 7 วัน หากไม่พบเชื้อ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดถึงจำนวนของวัน แต่ต้องไปหาวิธีการว่า ผู้ที่เดินทางเข้ามา มาเพื่อภารกิจใด เช่น ถ้าเป็นนักธุรกิจที่เข้ามาระยะสั้น อาจจะทำเช่นเดียวกับกรณีของผู้บัญชาการทหารบกสหรัฐฯ ที่มีทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและฝ่ายความมั่นคงคอยดูแลติดตามตลอด เรื่องนี้จะต้องวางแผน เพื่อเป็นการเตรียมรับมือเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญ คือประชาชนจะต้องเข้าใจ ถ้าไปปลุกระดมให้ไม่เข้าใจกัน หรือปฏิเสธกันไปหมด ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา