การทุจริตการเบิกจ่ายเงินส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สถานพยาบาลที่ทุจริตที่ถูกสปสช.ยกเลิกต่อมาสถานพยาบาลเหล่านั้นได้มีการเรียกเก็บค่าเวชระเบียนจากผู้ป่วยที่เคยรักษาอยู่เดิมและต้องการประวัติการรักษาเพื่อไปรับบริการที่หน่วยบริการแห่งใหม่ ยืนยันว่า ประชาชนที่ได้รับผลกระทบกับการยกเลิกสัญญาไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปขอประวัติการรักษาจากหน่วยบริการเดิมอีก เช่น หากยาหมดสามารถไปที่ศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร(กทม.) หรือโรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่ยังทำงานกับสปสช.ได้เลย โดยเมื่อผู้รับบริการไปใช้สิทธิบัตรทองที่หน่วยบริการแห่งใหม่ให้นำบัตรประชาชนไปด้วยทุกครั้ง เนื่องจากหน่วยบริการสามารถเข้าถึงข้อมูลการรักษาเพื่อการดูแลต่อเนื่องได้
ทั้งนี้ สปสช.ได้ทำการเชื่อมประวัติของคนไข้ให้หน่วยบริการที่ยังทำงานร่วมกับสปสช.เข้ามาตรวจสอบประวัติการรักษาได้โดยมี 4 เงื่อนไข คือ
1.ผู้ที่เข้ามาดูประวัติต้องเป็นบุคลากรวิชาชีพของหน่วยบริการ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เป็นต้น
2.เจ้าหน้าที่เข้ามาดูประวัติต้องเสียบบัตรประชาชนกับเครื่องอ่าน Smart Card
3.กรณีประชาชนเจ็บป่วยและไปรักษาพยาบาลที่หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถแจ้งหน่วยบริการเพื่อเรียกดูประวัติการรักษาพยาบาลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้
และ 4.ประชาชนต้องลงนามในแบบยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว
นพ.ศักดิ์ชัย ขอย้ำว่าผู้ป่วยไม่มีความจำเป็นต้องเสียเงินค่าเวชระเบียนอีก เช่น หากยาหมด ก็สามารถไปที่ศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. หรือโรงพยาบาลรัฐ/เอกชน ที่ยังทำงานกับ สปสช. ได้เลย หน่วยบริการจะทราบอยู่แล้วว่าสามารถเรียกดูข้อมูลการรักษาได้