ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563

24 กันยายน 2563, 09:12น.



ศบค.ชุดเล็กต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉิน 1 เดือนตลอดเดือนต.ค.   



          พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ชุดเล็ก โดยมีพล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง



-เห็นชอบให้ขยายเวลาการบังคับใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย.2563 ต่อไปอีก 1 เดือน ครอบคลุมตลอดเดือน ต.ค.2563 เพราะยังถือเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินมาตรการด้านสาธารณสุข



          เห็นชอบตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติอนุมัติหลักการและแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในรูปแบบการออกวีซ่าประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa- STV) ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มาพำนักระยะยาว และต้องยอมปฏิบัติตามมาตรการต่างๆของ ศบค. โดยนักท่องเที่ยวที่ได้รับวีซ่านี้จะได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทยได้ 90 วัน และต่อได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 90 วัน รวมเป็น 270 วัน โดยที่ประชุมศบค.ชุดเล็กเตรียมเสนอที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ ในวันที่ 28 ก.ย.



พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลายพื้นที่ในเขตตะนาวศรี เมียนมา



          จ่าเอกแก้ว คงวงศ์ ป้องกันจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเหมือนบ้านพี่เมืองน้องกับ จ.มะริด เมียนมา จากข้อมูลสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า เขตตะนาวศรี ประกอบไปด้วย ทวาย มะริด และเกาะสอง มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประมาณ 20 คน ทำให้ชายแดนไทย-เมียนมา ต้องมีมาตรการป้องกันเข้มข้นเพิ่มมากขึ้น ทำให้ฝ่ายปกครองของจังหวัดพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และตัวแทนภาคเอกชน ให้ความรู้ชาวเมียนมาเกี่ยวกับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 บริเวณพื้นที่ขนถ่ายสินค้านำเข้าส่งออกหรือโนแมนแลนด์ จุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร พร้อมทั้งมอบอุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรคโควิด-19 ให้ด้วย



“หมอยง” เผยการติดเชื้อในเมียนมาเป็นแบบโดมิโน่  



          ด้าน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุถึงสถานการณ์ในเมียนมา



-การระบาดจากอินเดียเข้าสู่บังกลาเทศและเข้าสู่ทางตะวันตกของประเทศเมียนมาในรัฐยะไข่ เป็นการระบาดแบบโดมิโน่



-การระบาดเริ่มต้นจากตัวเมืองออกสู่ชนบท



-ในย่างกุ้งมีการระบาดอย่างมากและเริ่มกระจายไปยังเมืองต่าง ๆ



-การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในเวลาประมาณ 6 วัน มีอัตราการเพิ่มวันละกว่า 600 คน ขณะนี้ร่วม 7,000 คนแล้ว ทำให้การควบคุมยากยิ่งขึ้น ถ้าอัตราการเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าใน 1 สัปดาห์ เราคงจะเห็นตัวเลขเกิน 10,000  คน ในสัปดาห์หน้า ตัวเลขผู้ติดเชื้อเมื่อเวลา 08.10 น. เมียนมา มีผู้ติดเชื้อ 7,177 คน เสียชีวิต 129 ราย



          สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราจะมัวตั้งรับอยู่ไม่ได้ ต้องเปิดเกมรุกไปค้ำยันไว้ให้ได้ ทุกคนต้องช่วยกันภายใน 1-2 เดือนนี้ มาตรการทุกอย่างต้องเข้มขึ้น



สบส. ขอแรง อสม.สอดส่องสแกนโควิด-19 รอบ 2 พร้อมช่วยขับเคลื่อนศก.



          นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอาสาสมัครสาธารณสุขประชากรต่างด้าว (อสต.) จะร่วมตรวจสอบพื้นที่ที่ติดกับไทย เนื่องจาก เมียนมา มาเลเซีย กัมพูชา และลาว มีแนวโน้มการแพร่ระบาดโควิด-19 รุนแรงขึ้น กรมควบคุมโรค ย้ำว่า หากพบแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จะมีมาตรการทางกฎหมายที่เข้มข้น



          นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวถึง ภารกิจสำคัญในการเตรียม อสม.เพื่อรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 2 มี 3 ภารกิจ คือ



1.เพิ่มความเข้มแข็ง และเฝ้าระวังป้องกันโควิด-19 ต่อไป และต้องช่วยค้นหาประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจิต โดย สบส.ร่วมกับกรมสุขภาพจิตพัฒนาแอปพลิเคชั่นประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้น



2.โฟกัสพื้นที่ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านรอบไทยยังพบการระบาดของ โควิด-19 อยู่ อสม.ต้องเป็นหูเป็นตา สอดส่องผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย

3.อสม.ต้องมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ โดย อสม.ต้องทำความเข้าใจกับคนในชุมชนว่าเราสามารถอยู่กับโควิด-19 ได้ หากเรารู้จักการป้องกันตนเอง หากกลัวมากเกินไป โดยไม่เปิดใจรับนักท่องเที่ยวเข้ามาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรากหญ้า นิวนอร์มอลหลังโควิด-19 จะเป็นภาวะปกติแบบนี้ไปอีกนาน อสม.จะเป็นกลไกหลักในการสร้างตำบลเข้มแข็ง เราต้องผ่อนปรนมาตรการให้เศรษฐกิจเดินหน้า แต่เราต้องมีกระบวนการคัดกรองที่เข้มแข็ง



ศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร “วัฒนา” –“อริสมันต์” เป็นจำเลย



          องค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  นัดอ่านคำพิพากษา คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ หมายเลขดำ อม.42/2561  ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สมัยรัฐบาลทักษิณ 2  นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีตกรรมการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และอดีตประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการปี 2548–2549  นายพรพรหม วงศ์พิวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจก่อสร้างที่พักอาศัย นายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร นักธุรกิจค้าข้าวรายใหญ่  นายอริสมันต์ หรือกี้ร์ พงษ์เรืองรอง  อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย  และกลุ่มเอกชน รวม 14 ราย เป็นจำเลย ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจ เพื่อให้บุคคลใดมอบให้ หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ฐานเป็นพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อให้กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 11 และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 91




          คดีนี้เริ่มมีการพิจารณาไต่สวนพยานในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตั้งแต่ปี 2562  จนเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563  ขณะที่ จำเลยที่ 6-7, 10-12 หลบหนีคดี  ศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเสร็จสิ้นแล้ว คดียังไม่ถึงที่สุด คู่ความสามารถยื่นอุทธรณ์ได้อีกครั้ง เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ให้สิทธิคู่ความในการยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน 



จนท.ถูกยิง 2 คน เหตุประท้วงที่เมืองหลุยส์วิลล์ ไม่พอใจ ตร.ยิงหญิงอเมริกันผิวดำ



           สถานการณ์การชุมนุมประท้วงที่เมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี สหรัฐฯ เป็นระยะเวลากว่า 100 วัน เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและไม่พอใจเหตุการณ์ที่ตำรวจยิง น.ส.บรีออนนา เทย์เลอร์ ชาวอเมริกันผิวดำวัย 26 ปี เสียชีวิต ขณะบุกตรวจค้นยาเสพติดในบ้านของเธอเมื่อคืนวันที่ 13 มี.ค. มีรายงานว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้นทำให้มีเจ้าหน้าที่ถูกยิง 2 คน ด้วย ก่อนหน้านี้ นายเกร็ก ฟิสเชอร์ นายกเทศมนตรีเมืองหลุยส์วิลล์ ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อป้องกันเหตุวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้น ก่อนที่นายแดเนียล คาเมรอน อัยการสูงสุดของรัฐเคนทักกี จะแถลงว่า อัยการเห็นควรสั่งฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่ กรณีตำรวจ 3 นายคือ นายโจนาธาน แมททิงลี นายเบรทท์ แฮนคินสัน และ นายมายเลส คอสโกรฟ ถูกกล่าวหาว่ายิงน.ส.เทย์เลอร์ เจ้าหน้าที่เทคนิคประจำแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองหลุยส์วิลล์



         ตามประกาศมาตรการฉุกเฉิน ตำรวจมีอำนาจปิดถนนบางแห่ง ตั้งรั้วลวดหนามกั้นพื้นที่โดยรอบย่านใจกลางเมือง รวมถึง พื้นที่รอบที่ทำการศาล จำกัดคนเข้าออก เพื่อป้องกันเหตุวุ่นวายเป็นการจัดระเบียบการชุมนุมให้รวมกลุ่มเฉพาะในพื้นที่ที่กำหนดไว้ เปิดโอกาสให้ผู้ประท้วงแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิทธิพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันภาครัฐจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพื่อทำให้ทุกคนปลอดภัย



          ในคืนวันเกิดเหตุ ขณะที่น.ส.เทย์เลอร์ และนายเคนเน็ธ วอกเกอร์ แฟนหนุ่ม นอนชมภาพยนตร์อยู่ในบ้าน ตำรวจได้เข้ามาขอตรวจค้นยาเสพติด เพราะสงสัยว่า นายจามาร์คัส โกลเวอร์ อดีตแฟนของเธอ และขณะนี้เป็นนักโทษคดียาเสพติด ใช้ที่อยู่คือบ้านของเธอในการรับพัสดุภัณฑ์บรรจุยาเสพติด แต่ตัวเธอไม่มีประวัติทางคดีอาญา แต่นายวอกเกอร์ ซึ่งมีปืนที่จดทะเบียนถูกต้อง เข้าใจผิดคิดว่า ตำรวจที่มาเคาะประตูบ้าน คือ ขโมยที่จะบุกรุกจึงยิงไปที่ประตูหนึ่งนัดถูกตำรวจบาดเจ็บที่น่อง ทำให้ตำรวจยิงปืนตอบโต้ 20 นัด ทำให้น.ส.เทย์เลอร์ ถูกยิง 5 นัด เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ



CR:NBC News



 

ข่าวทั้งหมด

X