นายอันโตนิโอ ฟาตัส อาจารย์สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ประจำสถาบันอินซีด สถาบันการศึกษาด้านธุรกิจระดับโลกของสิงคโปร์เปิดเผยว่า การสำรวจความเห็นภาคธุรกิจเอกชนรวม 103 บริษัทจาก 11 ประเทศในแถบเอเชีย-แปซิฟิก โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ร่วมกับสถาบันอินซีด ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคมถึงวันที่ 14 กันยายน พบว่า ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจเอกชนในเอเชียเพิ่มขึ้นมากในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ หลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ ทำให้ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่ 2 แต่ในภาวะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงในอันดับที่ 1 ที่จะทำให้ภาคธุรกิจต้องระมัดระวังมากขึ้น เช่นกัน
ผลสำรวจ ระบุว่า ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจเอกชนในเอเชียในไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ระดับ 53 จากระดับที่ 35 ในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 11 ปี นายฟาตัส มองว่า แม้ว่าภาคธุรกิจส่วนใหญ่ในเอเชียจะมีความเชื่อมั่นเรื่องแนวโน้มทางธุรกิจในอนาคต แต่ในความเป็นจริง โลกเราไม่ได้มีแค่ทวีปเอเชีย เพราะสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในยุโรปและสหรัฐฯ นับเป็นเรื่องที่น่ากังวล จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างรุนแรง โดยเฉพาะสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 จำนวน 205,478 ราย ส่วนในยุโรป เช่น สเปน และอังกฤษ ภาครัฐได้กลับมาล็อกดาวน์ซ้ำในบางท้องที่ หลังพบการแพร่ระบาดระลอก 2
2 ใน 3 ของบริษัทที่ตอบแบบสำรวจ ระบุว่า พวกเขามองเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือการกลับมาระบาดระลอก 2-3 ในบางประเทศว่ายังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่ 1 ขณะที่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นปัญหาที่น่ากังวลมากที่สุดตามมาเป็นอันดับ 2 ส่วนที่เหลือเห็นความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายนนี้
Cr: Reuters, Investing