แจ้งข้อหา“ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น”กลุ่มวัยรุ่นตีกันที่ร้านหมูกระทะ-รพ.พระจอมเกล้าเพชรบุรี
ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบุรี นำภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรี อ.เมือง จ.เพชรบุรี หาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี เหตุเกิดกลางดึกคืนวันที่ 8 ก.ย. ตำรวจกว่า 10 นาย เข้าระงับเหตุทะเลาะวิวาทที่หน้าตึกฉุกเฉินในโรงพยาบาล จากเหตุการณ์ที่วัยรุ่น 2 กลุ่มทะเลาะตีและแทงกันบาดเจ็บที่ร้านหมูกระทะ ถ.เลียบคลองชลประทาน นำตัวมารักษาที่โรงพยาบาล และมาเกิดเหตุซ้ำที่โรงพยาบาล เนื่องจากญาติและเพื่อนของสองกลุ่มมาเยี่ยมและเกิดเหตุรุมชกต่อยกัน
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยเรื่องการดำเนินคดีว่า
-เหตุการณ์แรก เกิดที่บริเวณหน้าร้านหมูกระทะ ถ.เลียบคลองชลประทาน ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาจำนวน 3 คน ก่อเหตุใช้อาวุธมีดเเทงผู้ต้องหาอีกกลุ่ม แจ้งข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น
-เหตุการณ์ที่สอง เหตุเกิดภายในโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรี ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 5 คน ในข้อหา ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ
คดีดังกล่าวพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจาก ต้องรอรายงานชันสูตรบาดแผลจากเเพทย์มาประกอบสำนวนการสอบสวน เพื่อพิจารณาข้อหาหรือฐานความผิดอื่นๆที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย
ล่าคนร้ายแฮกข้อมูล รพ.สระบุรี ชี้โทษหนักคุก15 ปี ปรับ 300,000 บาท
การติดตามคนร้ายแฮกข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลสระบุรี เรียกค่าไถ่ 200,000 บิตคอยน์ พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า ผู้แทนโรงพยาบาลสระบุรี แจ้งความแล้วว่ามีคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน ส่งไวรัส Ransomware voidcrpt เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลสระบุรี ทําให้ฐานข้อมูลผู้ป่วยไม่สามารถใช้งานได้ ภาพสแกนเวชระเบียนผู้ป่วยเสียหายทั้งหมด เครื่องแม่ให้บริการไม่ได้ และระบบเครือข่ายระบบโทรศัพท์สายในให้บริการไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมแจ้งกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมสืบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน เส้นทางจราจรคอมพิวเตอร์ และข้อมูลเพื่อตามหาคนร้ายแล้ว
เหตุการณ์นี้เข้าข่ายความผิดฐาน “เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบและข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ ตามมาตรา 5, 7 แห่ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มีโทษจำคุก 1- 7 ปี และ ปรับตั้งแต่ 20,000 - 140,000 บาท ประกอบกับ ทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มีโทษจำคุก 3 - 15 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000 - 300,000 บาท และอาจจะมีความผิดอื่น ๆ อีก
เตรียมออกหมายจับ หัวหน้าวินจยย.ที่ยังไม่มามอบตัว ดวลปืนสนั่นหน้าห้างแถว อ.บางพลี
เหตุวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง 2 ฝ่าย เปิดศึกยิงปืนสนั่นหน้าห้าง บริเวณถนนหนามแดง บางพลี ตำบลบางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เหตุเกิดช่วงเย็น วันที่ 8 ก.ย. เมื่อวานนี้ นายสมเจต ปอเจริญ อายุ 55 ปี อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และเป็นเจ้าของวินจักรยานยนต์หน้าห้างที่เกิดเหตุ เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ พร้อมอาวุธปืน .22 แบบลูกโม่ นายสมเจต ให้การว่าวินของตัวเองมีปัญหากับวินของนายประยูร โหงอ่ำ อายุ 47 ปี ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อยู่ในพื้นที่ตำบลบางแก้ว เรื่องแย่งผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่นำตัวนายสมเจต ไปชี้จุดที่เกิดเหตุที่หน้าห้าง เพื่อประกอบสำนวนการสอบสวนและตรวจหาวิถีกระสุน ก่อนคุมตัวมาสอบสวนเพิ่มเติม เพื่อรวบรวมหลักฐานขออนุมัติหมายจับนายประยูร คู่กรณีที่ใช้ปืนยิงต่อสู้กัน เหตุการณ์นี้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ มีเพียงรถเก๋งของชาวบ้านที่ขับผ่านมาถูกลูกหลงได้รับความเสียหายคันเดียว
รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคน 2 กลุ่ม หรือในส่วนของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ต้องให้การสืบสวนสอบสวนเสร็จสิ้นก่อน อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับและติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี ในความผิดฐาน "พยายามฆ่าผู้อื่นฯ, พกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรและยิงปืนโดยใช่เหตุ"
ตม.ยืนยัน จนท.ที่ต่อหนังสือเดินทางให้ ชายติดเชื้อเกาหลีใต้ ไม่มีเชื้อโควิด-19
พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) เปิดเผยกรณีที่เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นายคิม นักท่องเที่ยวชายชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางออกจากไทยแล้วตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 มาต่ออายุหนังสือเดินทางที่ ตม.ส่วนย่อยเมืองทองธานี และเมื่อรู้ว่านายคิม ติดเชื้อ จึงให้เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ต่ออายุหนังสือเดินทางให้กับนายคิมไปตรวจหาเชื้อ ยืนยันว่า จากการตรวจแล้วไม่มีใครติดเชื้อ คือ เจ้าหน้าที่ชั้นประทวน 1 คน และนายตำรวจหญิงยศ ร.ต.อ.อีก 1คน ที่ประจำอยู่ส่วนย่อยเมืองทองธานี ใกล้ชิดกับนายคิม ตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอลเซ็นเตอร์ ไม่พบเชื้อ รวมถึงให้ผู้ที่ใกล้ชิดตำรวจทั้ง 2 คน รวมทั้งหมด 28 คน หยุดงานพร้อมให้ไปตรวจหาเชื้อเช่นกัน ผลออกมาไม่พบเชื้อ แต่เพื่อสร้างความมั่นใจจึงได้ส่งตัวทั้งหมดไปตรวจซ้ำอีกครั้ง
- 16 มี.ค.นายคิม เดินทางจากเวียงจันทน์เข้ามาที่ประเทศไทย
- 20 ส.ค. เดินทางไปขอต่ออายุหนังสือเดินทางที่ ตม.ส่วนย่อยเมืองทองธานี
- 4 ก.ย.นายคิม ได้เดินทางกลับประเทศเกาหลีใต้ ผ่านช่องทาง ตม.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
- 5ก.ย.นายคิม ติดเชื้อโควิด-19