ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
นายกฯ ยืนยันใช้เงินกู้รอบคอบ ฟื้นฟูเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19
หลังจากนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อภิปรายถึงปัญหาเศรษฐกิจโดยโยงไปถึงการส่งหนังสือถึงผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า เป็นการหารือแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ได้ขอความช่วยเหลือ ส่วนการใช้งบกลางปี 2563 วงเงินรวมกว่า 500,000ล้านบาท โดยเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินจำเป็น 96,000 ล้านบาท ทุกอย่างมีการตรวจสอบ หากมีการใช้จ่ายเกินกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไป และต้องมีแผนโครงการรายละเอียดเพราะเป็นเงินภาษีประชาชนไม่ใช่เงินของตนเอง
ส่วนเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเยียวยาสถานการณ์โควิด-19 พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า เงินที่กู้จริงๆ 1 ล้านล้านบาท โดย 45,000 ล้านบาท ใช้ด้านสาธารณสุข ยังใช้ไปไม่กี่พันล้าน ส่วน 550,000 ล้านบาท เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ หากจะจ่ายเยียวยา 5,000 บาท 12 เดือน ให้คนไทย 30 กว่าล้านคนจะต้องใช้เงินถึง 1.98 ล้านล้านบาท จึงต้องใช้ตามกรอบวงเงิน 3 เดือน ส่วน 440,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจก็กำลังมีมาตรการใช้เงินอยู่ โดยต้องมีเงินไว้ใช้สำหรับสถานการณ์ในอนาคตด้วย ส่วนอีก 900,000ล้านบาท เป็นเงินในประเทศที่มารวมกัน
นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงศักยภาพของประเทศไทย ต้องแก้ปัญหาการเกษตรทั้งระบบ รัฐบาลจะใช้เงินทุกบาทต้องรอบคอบ ส่วนการขยายตัวเศรษฐกิจหลายประเทศหดตัวซึ่งเป็นปัญหาที่เผชิญกันทั้งโลกได้รับผลกระทบทั้งหมดก็พยายามประคับประคอง
สภาพัฒน์ เสนอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 เสนอ ครม.สัปดาห์หน้า
การใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ในส่วนของแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 400,000ล้านบาท นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)เปิดเผยว่า ขณะนี้การดำเนินโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.ไปแล้วหลายโครงการ คิดเป็นเงินกว่า 45,091 ล้านบาท ยังเหลือวงเงินอีก 47,308 ล้านบาท ซึ่งสศช.จะกลั่นกรองโครงการที่เหลือก่อนเสนอให้ที่ประชุมครม.เห็นชอบภายในเดือนก.ย.นี้ โดยเงินส่วนใหญ่จะลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจเดือนต.ค.63
หากเงินก้อนนี้ผลักดันออกไปจนหมด คิดเป็นเงินกว่า 9.24 หมื่นล้านบาท ถือเป็นเงินก้อนแรกที่จะเข้าไปจ้างงานได้ 4.1 แสนล้านตำแหน่ง และในช่วงถัดไป สศช.จัดทำมาตรการกระตุ้นในรอบที่ 2 เน้นการท่องเที่ยว จ้างงาน และพัฒนาทักษะ มีวงเงินอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเงินก้อนนี้จะลงไปเป็นระยะๆ เหมือนที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าเงินจะลงไปเป็นระยะๆ ประมาณ 4 ครั้ง
ส่วนกรณีคณะกรรมการฯ ทยอยใช้เงินก้อน 400,000ล้านบาท ไม่ได้ใช้ครั้งเดียวหมด เป็นเพราะว่ายังต้องติดตามสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 หากกลับมาระบาดรอบ 2 ก็จะมีวงเงินเหลือไว้ใช้จ่าย แต่หากโชคดีไม่มีการระบาดรอบ 2 เงินที่เหลืออยู่ก็จะนำไปใช้ในแพ็คเกจอื่นๆ ซึ่ง ศบศ. ก็กำลังคิดแพ็กเกจอยู่ หากมีการพิจารณารายละเอียดชัดเจนแล้ว จะเสนอครม.ต่อไป
ขณะที่ภาพรวมเงินการใช้เงินกู้ตามพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ในส่วนของแผนงานด้านสาธารณสุข วงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 100 ล้านบาท ด้านแผนงานเยียวยาผลกระทบจากไวรัสวิด-19 วงเงิน 5.5 แสนล้านบาท ใช้ไปแล้ว 2.9 แสนล้านบาท ยังเหลืออยู่ 2.1 แสนล้านบาท และในด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 4 แสนล้านบาท ขอใช้ไปแล้ว 9.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งอนุมัติไปแล้ว 4.5 หมื่นล้านบาท
ราคาน้ำมัน-นักลงทุนเทขายหุ้นเทคโนโลยี ดึงตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,293.40 จุด ลดลง 0.40 จุด มูลค่าการซื้อขาย 47,500.61 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยวันนี้ผันผวนในเชิงลบก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้างในการเทรดช่วงบ่าย หลังจากที่ตลาดในยุโรป และดาวโจนส์ฟิวเจอร์สได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ดัชนีฯก็ยังคงจะย่ำฐานในระดับที่ต่ำกว่า 1,300 จุด เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวลงมาก กดดันผลประกอบการงวดไตรมาส 3/63 ของกลุ่มพลังงานนอกจากนี้ตลาดฯยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งในสหรัฐฯด้วย อย่างไรก็ดีให้รอดูการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15-16 ก.ย.นี้ ซึ่งก็ให้รอดูทิศทางเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ส่วนบ้านเราก็ให้ติดตามประเด็นการเมือง
ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดร่วงลงในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตามตลาดหุ้นสหรัฐ และหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมัน นิกเกอิปิดที่ 23,032.54 จุด ลดลง 241.59 จุด
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดวันนี้ปรับตัวลดลง สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยได้รับแรงกดดันจากความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดวันนี้ที่ 24,468.93 จุด ลดลง 155.41 จุด
ยอดผู้สัมผัสเสี่ยงดีเจติด'โควิด' อยู่ที่1,003 คน
ความคืบหน้าการติดตามผู้สัมผัสผู้ต้องขังติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)ข้อมูลล่าสุดของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประจำวันที่ 9 ก.ย.2563 พบว่ามีจำนวนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ รวม 1,003 คน ซึ่งแบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 119 คน ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 884 คน โดยมีผู้รับการตรวจแล้ว 569 คน ซึ่งมี 537 คน ที่ผลระบุไม่พบเชื้อ แต่ 32 คน ยังรอผลตรวจ อย่างไรก็ตามยังรอติดตามผลตรวจกรณีในเรือนจำและห้างสรรพสินค้า
โดยที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง มีผู้ต้องขัง 36 คน เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมด ซึ่งมี 4 คนที่มีอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค แต่จากการตรวจหาเชื้อผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ผลระบุไม่พบเชื้อ และกรณีของผู้ที่รับการตรวจหาเชื้อเมื่อวันที่ 8 ก.ย.อยู่ระหว่างรอผลตรวจ ทั้งนี้จะครบการกักกันหรือเฝ้าระวังในวันที่ 16 ก.ย. และมีการนัดหมายการตรวจหาเชื้ออีกครั้งในวันเดียวกัน นอกจากนี้ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอีก 1 คน ถูกประกันตัวออกไป และตอนนี้ถูกติดตามตัวมาได้แล้ว อยู่ระหว่างการรอนัดหมายการเก็บตัวอย่างเพื่อหาเชื้อ
สำหรับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเรือนจำมีจำนวน 85 คน แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 24 คน และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 61 คน โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 24 คน และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 8 คน ที่เข้ารับการตรวจเมื่อวันที่ 8 ก.ย. ตอนนี้อยู่ระหว่างรอผลตรวจ และมีการนัดหมายตรวจเพื่อเก็บตัวอย่าง ครั้งที่ 2 ในวันที่ 16 ก.ย. ทั้งนี้จะครบการกักกันหรือเฝ้าระวังในวันที่ 16 ก.ย.นี้
6.ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ผู้ต้องขังรถคันเดียวกัน 8 คน ซึ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมด โดยมี 1 คนที่มีอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค อย่างไรก็ตาม จากการตรวจหาเชื้อเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ผลระบุไม่พบเชื้อ และจากการตรวจครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ก.ย. อยู่ระหว่างรอผล แต่ครบการกักกันหรือเฝ้าระวังแล้วในวันนี้
ส่วนที่ห้างบิ๊กซี สุขสวัสดิ์ ยังไม่พบผู้สัมผัส เพราะผู้ป่วยอาจจำเวลาไม่ชัดเจน และจากกล้องวงจรปิดไม่พบทะเบียนรถของผู้ป่วยในสถานที่นี้จึงทำให้ไม่สามารถตรวจสอบหาผู้สัมผัสได้ เนื่องจากผ่านมาเป็นเวลานาน
นายกฯสหราชอาณาจักร สั่งห้ามรวมกลุ่มเกิน 6 คนทั้งในบ้าน-กลางแจ้ง สกัดโควิด-19
สื่อท้องถิ่น สหราชอาณาจักร รายงานว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เตรียมสั่งห้ามการพบปะสังสรรค์ของประชาชนมากกว่า 6 คนในประเทศเพื่อควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)
รายงานระบุว่า มาตรการใหม่ได้ปรับลดจำนวนคนที่สามารถเข้าร่วมการพบปะสังสรรค์สูงสุดจาก 30 คน เหลือที่ 6 คน ทั้งพื้นที่ในอาคารและกลางแจ้ง รวมถึงบ้านส่วนตัว สวนสาธารณะ ผับ และร้านอาหาร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14 ก.ย.
ด้านสำนักข่าวบีบีซีระบุว่าคำสั่งห้ามดังกล่าวจะไม่ครอบคลุม “โรงเรียน สถานที่ทำงาน หรืองานแต่งงาน งานศพ และการแข่งขันกีฬาประเภททีมที่มีการป้องกันโรคโควิด-19”
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายงานว่าการแถลงข่าวประจำวันของทำเนียบนายกรัฐมนตรีในวันนี้จัดขึ้น “อย่างกะทันหัน” จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้น หลังตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่ม 2,988 คน เมื่อวันอาทิตย์ (6 ก.ย.) นับเป็นตัวเลขผู้ป่วยใหม่รายวันสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม สหราชอาณาจักรตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสม 354,932 คนและผู้ป่วยเสียชีวิต 41,675 ราย
เมียนมาสั่งกักกันเฝ้าระวังคนใกล้ชิดอองซาน ซูจีและปธน.เกือบ 30 คน
เว็บไซต์อิระวดี ของเมียนมา รายงานอ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบประธานาธิบดีอู วิน-มหยิ่นของเมียนมาและสำนักงานของนางออง ซานซูจี ประธานสภาที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมาว่า คนใกล้ชิดเกือบ 30 คน ของประธานาธิบดีและนางซูจี ถูกกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งประจำทำเนียบประธานาธิบดีติดโรคโควิด-19 สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ถูกกักกันรวมถึงนายอู ซอว์ ฮเตย์ โฆษกทำเนียบประธานาธิบดี เนื่องจากเจ้าหน้าที่คนที่ติดโรคโควิด-19 ระบุว่าอยู่ใกล้ชิดกับนายอู ซอว์ ฮเตย์ ด้วย
นอกจากนี้ นายอู ซอว์ ฮเตย์ ยังเป็นผู้อำนวยการใหญ่ประจำสำนักงานสภาที่ปรึกษาแห่งรัฐของนางซูจี อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ทั้งสองหน่วยงานนี้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด มีการขอให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงานทั้งสองช่วยงานในอีกหน่วยงานหนึ่งอย่างสม่ำเสมอ เบื้องต้นยังไม่ชัดเจนว่า ประธานาธิบดีอู วิน-มหยิ่น กับนางซูจีจะต้องถูกกักตัวเฝ้าระวังด้วยหรือไม่
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆจากทำเนียบประธานาธิบดีและนักข่าวอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้าร่วมแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ที่แล้วจะถูกกักกันเฝ้าระวังเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เมียนมาพบผู้ป่วยใหม่ 166 คนในวันนี้ ทำให้มีผู้ป่วยสะสม 1,807 คน เสียชีวิต 12 ราย
คนญี่ปุ่นหนุน โยชิฮิเดะ สึกกะ นั่งนายกฯคนใหม่
ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดของสำนักข่าวเกียวโดเผย คะแนนนิยมร้อยละ 50.2 หนุนให้นายโยชิฮิเดะ สึกะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นผู้ที่ประชาชนต้องการให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปมากที่สุด แซงหน้านายชิเกรุ อิชิบะ อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ที่มักวิจารณ์การบริหารงานของรัฐบาลนายชินโซ อาเบะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีคะแนนนำมาเป็นอันดับหนึ่งในโพลหลายสำนัก ได้คะแนนสนับสนุนเพียงร้อยละ 30.9 ส่วนนายฟูมิโอะ คิชิดะ ผู้สมัครชิงเก้าอี้นายกฯ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายนโยบายของพรรคแอลดีพี มีคะแนนรั้งท้ายอยู่ที่ร้อยละ8