นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 100 วัน พร้อมตั้งประเด็นที่น่าห่วง 2 อย่างหลักคือ
-หนึ่ง "ไม่ทราบต้นตอว่าติดเชื้อมาจากที่ใด?"...ลักษณะเช่นนี้เป็นเช่นเดียวกับหลากหลายประเทศ ที่มีการระบาดซ้ำแล้วจะมาแบบทันทีทันใด จะมาแบบเดี่ยวหรือแบบกลุ่มก้อนก็แล้วแต่ โดยไม่สามารถหาต้นตอได้
ต้นตอมีอยู่สองแหล่งเท่านั้นคือ มีเชื้อแฝงอยู่ในประเทศอยู่แล้ว หรือเป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศ จะเป็นการลักลอบเข้ามา หรือหลุดรอดจากระบบคัดกรองกักตัว 14 วัน ที่มีอยู่ก็ตาม
แต่หากพิจารณาดีๆ เราจะพบว่ามีสัญญาณเตือนมาก่อนหน้านี้อยู่แล้วตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อน ที่มีรายงานเคสที่เดินทางจากต่างประเทศ เข้าระบบกักตัว 14 วัน ตรวจไม่พบทั้งสองครั้ง แล้วออกไปใช้ชีวิตตามจังหวัดต่างๆ จากนั้นกลับมาตรวจพบที่รพ.รามาธิบดีใน 6 สัปดาห์ถัดมาแล้วพบว่าติดเชื้อปริมาณน้อยๆ และมีแอนติบอดี้ IgG ขึ้น ซึ่งแปลผลได้ว่าอาจติดจากต่างประเทศหรือในประเทศก็ได้ ไม่ว่าจะตรวจสายพันธุ์จะออกมาพันธุ์ใดก็ตามแต่
จากหลักฐานที่มี เราอาจพอสรุปได้ว่า มีเชื้อไวรัสในประเทศแน่ แต่ไม่ทราบว่ามากน้อยเพียงใด กระจายอยู่ที่ใดบ้าง และมีคนติดเชื้อมากน้อยเพียงใด เพราะเราไม่ได้ทำการตรวจอย่างครอบคลุม
-สอง "ไม่รู้ว่ามีคนสัมผัสกับผู้ติดเชื้อไปมากน้อยเพียงใดกันแน่?"
รายงานจากรัฐตอนนี้พบว่ามีคนสัมผัสไปแล้วราว 589 คน ทั้งที่เรือนจำ ศาล คอนโด และร้านอาหาร/ผับบาร์...คิดคร่าวๆ ค่าตรวจราว 2.5 ล้านบาท ที่สำคัญคือ จำนวนคนสัมผัสในร้านต่างๆ นั้นมีรายงานมาน้อยมากคือ เสี่ยงสูง 1 คน และไม่มีรายงานคนอื่นเลย ทั้งๆ ที่โดยธรรมชาติของกิจการแล้ว คนมาใช้บริการจะมีมากหน้าหลายตา และมีกิจกรรมที่ใกล้ชิดกันมาก แม้จะอยู่ในห้องแอร์หรือแบบเอ๊าท์ดอร์ก็ตามแต่ การรายงานตัวเลขน้อยเช่นนี้ แปลว่าระบบฐานข้อมูลบันทึกคนใช้บริการอาจมีปัญหา รวมถึงไม่มีการเช็คอิน-เช็คเอ้าท์ไทยชนะ
นอกจากนี้ ยังไม่มีรายงานรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ติดเชื้อ เช่น ตอนกลางวันที่ไม่ได้ทำงานนั้น แต่ละวันแวะไปกินอาหารเครื่องดื่มที่ใดบ้าง เดินทางขนส่งสาธารณะทางใดบ้าง ไปเดินเล่นตลาด ห้าง โรงหนัง หรืออื่นๆ หรือไม่ ซึ่งดูตามเนื้อผ้าแล้ว การใช้ชีวิตประจำวันของผู้ติดเชื้อก็ย่อมมีโอกาสจะแพร่แก่คนอื่นในสังคมได้ แต่ปัจจุบันยังไม่มีการรายงานเรื่องนี้ให้ได้ทราบกัน
ดังนั้น จากสถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศไทยจึงถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่อาจเกิดการระบาดซ้ำได้ทุกเวลา
ยิ่งหากมีการเปิดรับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ จากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ความเสี่ยงก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
สิ่งที่ประชาชนควรทำตอนนี้ มีดังนี้
1. โปรดติดตามข่าวเรื่องสถานที่เสี่ยง วันเวลาที่เสี่ยง และตรวจสอบดูว่า เราได้ไปในที่นั้นหรือไม่ หากไปก็ขอให้แจ้งกับหน่วยงานรัฐ และแสดงความจำนงขอไปตรวจโควิด-19 และคอยสังเกตอาการของตนเองและสมาชิกในครอบครัวว่ามีอาการไม่สบายหรือไม่ หากมีก็รีบไปตรวจรักษา
2. ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัดทุกวัน ใส่หน้ากาก ล้างมือ อยู่ห่างๆ คนอื่นหนึ่งเมตร พูดน้อยลง พบปะคนน้อยลงสั้นลง เลี่ยงที่แออัดที่ชุมนุมที่อโคจร สถานบันเทิงหากเลี่ยงได้ก็จะดี แต่หากอยากไปจริงๆ ก็ต้องป้องกันตัว และหลังจากกลับมาแล้ว ควรสังเกตอาการอย่างน้อย 14 วัน และรีบไปตรวจหากสงสัย
3. หมั่นเช็คอิน เช็คเอ้าท์ ไทยชนะเสมอ จะช่วยได้มากหากเกิดปัญหาพบการติดเชื้อขึ้น ทางการจะได้แจ้งเราได้ทันที
ส่วนรัฐนั้น สิ่งที่ควรทำคือ
1. แจ้งรายละเอียดการใช้ชีวิตประจำวันของเคสที่ติดเชื้อ เพื่อให้ประชาชนในสังคมได้ประเมินความเสี่ยงของแต่ละคน และปฏิบัติได้ถูกต้องเหมาะสม
2. ควรหาทางสืบเสาะหาคนที่มีโอกาสสัมผัสในร้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มาใช้บริการ และแจ้งให้สังเกตอาการและมาตรวจ
3. ลด ละ เลิก และชะลอนโยบายที่จะนำความเสี่ยงจากต่างประเทศเข้ามา เช่น ฟองสบู่ท่องเที่ยว/โมเดลเกาะสวรรค์จังหวัดร่ำรวย รวมถึงการทบทวนกลุ่มเป้าหมายที่อนุญาตให้เข้ามาในประเทศ ควรจำกัดเฉพาะที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดเท่านั้น และต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน ไม่มียกเว้น
4. พัฒนาระบบบริการตรวจคัดกรองโควิด-19ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมือง โดยควรมีทั้งรูปแบบในสถานพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข รถโมบาย ตู้บริการ และแบบไดรฟ์ทรู พร้อมระบบแจ้งผลและการรับส่งต่อเข้าสู่ระบบดูแลรักษา
5. ขันน็อตระบบตรวจสอบ กำกับ มาตรฐานการดำเนินงานของสถานประกอบกิจการต่างๆ ที่มีคนใช้บริการจำนวนมากในทุกชุมชน รวมถึงขนส่งสาธารณะ