นพ.แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อของสหรัฐฯเปิดเผยว่า การวิจัยวัคซีนรักษาโรคโควิด-19 อาจเสร็จเร็วขึ้นก่อนสิ้นปีนี้ หากการวิจัยวัคซีนเฟส 3 หรือเฟสสุดท้ายที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ได้ผลเร็วขึ้น โดยการทดลองวัคซีน ขณะนี้ทำใน 3 กลุ่มหลักคือ บริษัทโมเดอร์นา,บริษัทไฟเซอร์ และบริษัทแอสตราเซเนกา แต่ละกลุ่มต้องใช้อาสาสมัคร 30,000 คน ปรากฏผลเชิงบวกอย่างชัดเจนว่า ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคโควิด-19
นพ.เฟาซี กล่าวว่าคณะกรรมการอิสระที่กำกับดูแลข้อมูลและความปลอดภัย(The Data and Safety Monitoring Board)ที่ดูแลเรื่องการวิจัยวัคซีน มีอำนาจจะสั่งให้ทีมวิจัยยุติการทดลองก่อนกำหนด ถ้าผลทดลองเบื้องต้นบ่งชี้ว่า วัคซีนดังกล่าวมีแนวโน้มเชิงบวก โดยคณะกรรมการฯจะสรุปความเห็นว่า ข้อมูลจากการวิจัยที่ได้รับมาในเบื้องต้น บ่งชี้ได้แล้วว่า วัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ในกรณีเช่นนี้ ผู้วิจัยก็มีความชอบธรรมที่จะรวบรัด สรุปขั้นตอนการวิจัยให้เสร็จสิ้นแต่เพียงเท่านี้ เพื่อที่จะไปเริ่มขั้นตอนการผลิตวัคซีนจำนวนมากสำหรับประชาชนหลายล้านคนเพื่อใช้ป้องกันโรคต่อไป
นพ.เฟาซี พูดเรื่องนี้ในช่วงที่หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า แรงกดดันทางการเมือง โดยเฉพาะจากรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯจะมีผลให้หน่วยงานกำกับดูแลกฎระเบียบและนักวิทยาศาสตร์ที่กำกับดูแลมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของสหรัฐฯ รวบรัดขั้นตอนการวิจัยวัคซีนให้แล้วเสร็จเร็วขึ้น หรือไม่ ซึ่งอาจจะทำให้สาธารณชนในสหรัฐฯเกิดความเคลือบแคลงใจในเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีน ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนหลายคนระบุว่าพวกเขาหวั่นเกรงว่า นายทรัมป์อาจจะผลักดันเพื่ออนุมัติวัคซีนให้เร็วขึ้น เพื่อช่วยให้เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้
Cr: CNN