อ.วิชา ชี้การดำเนินคดีทางจริยธรรม เจ้าหน้าที่รัฐที่โยงคดี "บอส" อาจหลุดจากตำแหน่งได้
การแถลงของนายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส อยู่วิทยา ที่ขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต แถลงผลการตรวจสอบว่า คณะกรรมการมีความเห็นตรงกันว่ากระบวนการทำสำนวนเป็นการสมยอมโดยไม่สุจริต ร่วมมือกันตามทฤษฎีสมคบคิด ทำให้สำนวนเสียตั้งแต่การตั้งข้อหากับผู้เสียชีวิตซึ่งไม่เป็นธรรมและไม่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะได้รับเงินเยียวยาแต่ทำให้รูปคดีเสียหายอย่างหนัก สะท้อนว่าไม่มีความจริงจัง จริงใจในการทำสำนวน เรื่องนี้ชี้ให้เห็นชัดว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้ทำสำนวนอย่างมืออาชีพ เพราะบางข้อกล่าวหาไม่ได้ใส่ในสำนวน และก็สั่งไม่ฟ้อง เช่น เรื่องเมาสุราขับรถ จึงเห็นควรให้มีการสอบสวนใหม่ เริ่มนับหนึ่งใหม่ในคดี แต่บางข้อหาได้ขาดอายุความไปแล้ว ดังนั้น ในข้อเสนอแนะจึงเสนอให้แก้อย่างเร่งด่วนให้อายุความหยุดลงเมื่อผู้ต้องหาหลบหนี แบบเดียวกับคดีทุจริต สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่อยู่ในระดับสูงจะต้องดำเนินการเรื่องจริยธรรม สามารถทำให้พ้นตำแหน่งได้ จะประสานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ( ป.ป.ท.) ดำเนินการต่อไป
ผู้ช่วย ผบ.ตร. ยืนยันรื้อคดีใหม่จนศาลออกหมายจับแล้ว
พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการทำสำนวนคดี นายวรยุทธ ยืนยันว่า การตรวจสอบของคณะกรรมการที่ผ่านมามีการระบุรายละเอียดที่ชัดเจนเรื่องการดำเนินคดีตำรวจที่กระทำผิด 21 คน และได้เสนอให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณาลงโทษทางวินัยไปแล้ว เรื่องนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ ส่วนข้อเสนอแนะที่ให้มีการสอบสวนคดีนี้ใหม่ ตำรวจได้ดำเนินการสอบสวนพยานใหม่ จนล่าสุด มีการขออนุมัติศาลออกหมายจับและส่งสำนวนให้อัยการรับไปพิจารณาแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการทำสำนวนคดีนี้ใหม่ทั้งหมดแล้ว
นายกฯ สั่งการ กทม.หาทางแก้น้ำท่วม ไม่ใช่พูดว่า “น้ำรอการระบาย”
หลังจากเมื่อวานนี้ฝนตกหนัก น้ำท่วมในหลายพื้นที่ทั้งกทม.และ จ.สมุทรปราการ ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สอบถามถึงการทำงานของกรุงเทพมหานคร(กทม.)เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและรถติด พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะการศึกษาความเป็นไปได้การขยายถนนและการขยายผังเมือง ไม่ใช่พูดแต่เพียงว่า “น้ำรอการระบาย”
CR:รัฐบาลไทย
นายกฯลงพื้นที่ อ.สวรรคโลก สุโขทัย เร่งรัดช่วยเหลือน้ำท่วม
ขณะที่ วันนี้ นายกฯ ลงพื้นที่ จ.สุโขทัย ให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย พร้อมติดตามการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดขึ้น นายกฯ จะลงพื้นที่พบประชาชนและมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย จำนวน 2 จุด โดยจุดแรกที่บ้านคลองกระจง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย และหมู่ที่ 7 ต.ท่าทอง อ.สวรรคโลก โอกาสนี้จะตรวจพื้นที่น้ำกัดเซาะชายฝั่งแม่น้ำยมและพื้นที่น้ำกัดเซาะถนนด้วย
ด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย รายงานสถานการณ์สาธารณภัย เมื่อวันที่ 20-31 สิงหาคม 2563 ว่าเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก ดินโคลนถล่ม 17 จังหวัด ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก มีประชาชนได้รับผลกระทบประมาณ 20,000 ครัวเรือน ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้วและอยู่ระหว่างการฟื้นฟู พร้อมทั้งเตือนประชาชนโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ในวันที่ 5-6 ก.ย.
สภาฯ เร่งผู้รับเหมาระดมคนงานกว่า 4,000 คน ก่อสร้างให้เสร็จปลายปี
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง ปัญหาท่อรับน้ำแตก ส่งผลน้ำทะลักท่วมในอาคารรัฐสภาว่าได้รับรายงานจากนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ชี้แจงว่า การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งนี้ มีมูลค่า 10,000 ล้านบาท ไม่ใช่ 100,000 ล้านบาท ตามที่เป็นข่าว และขณะนี้ยังก่อสร้างไม่เสร็จ และเมื่อวันจันทร์ ได้ไปตรวจสอบการก่อสร้างมีความก้าวหน้าพอสมควรและที่ค่อนข้างเรียบร้อยแล้ว คือห้องทำงานของคณะกรรมาธิการ เมื่อครบสัญญาในสิ้นปีนี้จะไม่มีการต่อสัญญาอีก ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาเกิดขึ้นอีก ขณะนี้ ทราบมาว่าผู้รับเหมาระดมคนงานกว่า 4,000 คน มาเร่งก่อสร้างให้เสร็จยังมีเวลาตั้งแต่เดือนนี้จนถึงเดือนธันวาคม งานหลักๆ ก็ผ่านไปแล้ว แต่ยอมรับว่าอาคารรัฐสภายังมีจุดอ่อนและข้อบกพร่องอยู่มาก แต่คงต้องรอให้การก่อสร้างแล้วเสร็จก่อน ขณะนี้ยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เพราะเป็นเรื่องของสัญญา แต่เมื่อครบสัญญาจะต้องเข้าไปตรวจดูว่ามีจุดใดต้องแก้ไขบ้างเพราะขณะนี้อยู่ในช่วงผู้รับเหมาดูแลรับผิดชอบไม่เกี่ยวกับรัฐสภา
ดำเนินคดี 2 ชาวต่างชาติบนเกาะพะงัน ดำน้ำไล่จับสัตว์ทะเลถ่ายภาพ
นายออตี้ล่า สัญชาติฮังการี ครูสอนดำน้ำอยู่บนเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี และ นายฟรานซิโก้ ซิมโมเน็ตตี้ สัญชาติอิตาลี เปิดร้านอาหารอยู่บนเกาะพะงัน คือชาวต่างชาติ 2 คน อาศัยอยู่บนเกาะพะงัน ลงไปดำน้ำใต้ท้องทะเลแล้วแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดดไล่จับสัตว์น้ำใต้ท้องทะเลมาถ่ายรูป ไม่ว่าจะเป็นปลาสวยงาม ดอกไม้ทะเล ร่วมถึงปะการัง และปลาปักเป้า แล้วนำคลิปดังกล่าวไปเผยแพร่ลงในโซเชียล จนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสม เป็นการรบกวนและเป็นการทำร้ายสัตว์ใต้ท้องทะเล
นายฟรานซิโก้ เปิดเผยว่า ตนและเพื่อนรู้สึกไม่สบายใจที่ได้กระทำเรื่องดังกล่าวลงไป ก็อยากจะขอโทษทุกคนกับสิ่งที่ตนและเพื่อนทำลงไป และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พร้อมขอโทษคนไทยที่ตนทำลงไปนั้นเพื่อต้องการเผยแพร่ภาพความสวยงามใต้ท้องทะเลให้ผู้ที่ชื่นชอบการดำน้ำทั่วโลกได้เห็นถึงความสวยและความอุดมสมบูรณทางธรรมชาติใต้ท้องทะเลของเกาะพะงัน เพื่อเป็นการดึงดูดให้นักดำน้ำทั่วโลกเดินทางมาสัมผัสความสวยงาม
ด้านนายจักรพงษ์ อดทน ผู้อำนวยการศูนย์ทรัพยากรทางทะเล จ.สุราษฎร์ธานี เตรียมดำเนินคดีกับชาวต่างชาติ 2 คนที่สภ.เกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน เป็นเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม มาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2535 ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฏกระทรวง ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท
นายพูลศักดิ์ โสภณปทุมรักษ์ นายอำเภอเกาะพะงัน กล่าวว่า จะเชิญผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำมาประชุมกำชับถึงมาตรการดูแลรักษาความสมบูรณ์ใต้ท้องทะเล การให้บริการดำน้ำต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเล และปะการังใต้ท้องทะเล