ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
พลเอกประวิตร เผย ‘ปรีดี’ ลาออกไม่ใช่ปัญหาความขัดแย้ง แต่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ
หลังมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรื่องการลาออกของนาย ปรีดี ดาวฉาย จากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อย่างเป็นทางการ พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า การลาออกของนายปรีดีมาจากปัญหาสุขภาพ โดยมีอาการป่วยเป็นสโตรกหรือโรคหลอดเลือดสมองตีบและนายปรีดี ได้มีอาการสโตรกเมื่อคืนก่อนหน้านี้ ส่งผลต่อแขน และ ขา นี่คือเหตุผลสำคัญในการลาออก ไม่ใช่จากความขัดแย้งตามที่ปรากฎเป็นข่าว
ส่วนที่มีสื่อนำเสนอข่าวว่า ตนยืนพูดคุยกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผอ.พรรคพลังประชารัฐอย่างเคร่งเครียด และคาดว่าเป็นการพูดคุยถึงเรื่องนายปรีดี ก็ไม่เป็นความจริง เพราะการพูดคุยกับนายสันติเกี่ยวกับเรื่องพรรคไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องกระทรวงคลัง
รมว.คลังลาออก ดึงดัชนีหุ้นไทยปิดลบ 5 จุด
การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้ นักลงทุนเทขายออกมามากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการถือระยะยาว หลังมีข่าวนายปรีดี ดาวฉาย รมว.คลัง ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งต่อนายกรัฐมนตรีแล้วในวันนี้ ส่งผลต่อ Sentiment ลบของภาพรวมการลงทุน ฉุดให้ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบทันที ส่งผลปิดตลาดฯวันนี้ที่ระดับ1,305.57 จุด ลดลง 5.09 จุด มูลค่าการซื้อขาย 48,635.56 ล้านบาท
ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดทรงตัวในวันนี้ โดยมีแรงขายทำกำไรหลังตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นดัชนีนิกเกอิ ปิดที่ระดับ 23,138.07 จุด ลดลง 1.69 จุด
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจัย ดัชนีPMI ภาคการผลิตจีนเดือนส.ค.ขยายตัวสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ซึ่งส่งสัญญาณถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ดี ตลาดบวกขึ้นไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อรอดูข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ดัชนีฮั่งเส็งปิดวันนี้ที่ 25,184.85 จุด เพิ่มขึ้น 7.80 จุด
นายกฯ สั่งแก้น้ำท่วมกทม.บอก อย่าแค่ให้น้ำรอระบาย
มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงปัญหาน้ำท่วมและการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักในพื้นที่กรุงเทพฯ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ฝนตกตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ (1 ก.ย.) โดยนายกฯ กล่าวว่าปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร ทำอะไรอยู่ อย่าบอกแค่ว่าเป็นน้ำรอระบาย ต้องเร่งหาแก้ไข เช่นเดียวกับปัญหาการจราจรติดขัดก็ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปช่วยกันคิดหาทางแก้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ความเป็นไปได้ในเรื่องขยายเมืองรอบนอก หรือการขยายถนน ควรต้องทำอย่างไรจะช่วยแก้ไขได้หรือไม่ อย่างไร
เปิดเอกสารคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ชุด ‘วิชา’ ชี้ “นาย น.” รองอัยการสูงสุด ใช้อำนาจ-ดุลพินิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย-เชื่อมีเจตนาช่วยผู้ต้องหาพ้นผิด
หลังนายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ส่งรายงานต่อนายกรัฐมนตรี และเผยแพร่รายงานต่อสื่อมวลชน พบว่า มีรายละเอียดทั้งสิ้น 7 หน้า และใช้อักษรย่อในการกล่าวถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียดการตรวจสอบการทำหน้าที่ของบุคคลในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การทำงานของตำรวจ อัยการ เจ้าหน้าที่ และนักการเมือง ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้
มีการกล่าวถึงการทำงานของอัยการที่มีความเห็นไม่สั่งฟ้องคดี โดยมีสาระสำคัญในเอกสารระบุว่า "นาย น." ซึ่งรักษาราชการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด (รอง อสส.) ซึ่งมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ "ใช้อำนาจและดุลพินิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเชื่อว่ามีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องหาไม่ให้ต้องรับโทษ"
โดยเอกสารระบุว่า พิจารณาจากกรณีที่ นาย น. สั่งให้มีการสอบปากคำพยาน เจาะจงเป็น พลอากาศโท จ. และ นาย จ. เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่พยานใหม่ และ อสส.-รอง อสส. คนก่อนหน้าเคยพิจารณาคำให้การของพยาน 2 ปากนี้ โดยมีความเห็นว่ามีพิรุธและไม่น่าเชื่อถือ
"คณะกรรมการเห็นว่าการใช้อำนาจในการสั่งคดีร้องขอความเป็นธรรม และต่อมาการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในคดีอาญาของนาย น. ในฐานะรองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด เป็นการใช้อำนาจและดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและน่าเชื่อว่ามีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องหามิให้ต้องรับโทษ เพราะเหตุของการเจาะจงให้มีการสอบเพิ่มเติมและรับฟังเฉพาะพลอากาศโท จ. และ นาย จ. ซึ่งเป็นพยานเคยถูกสอบไปแล้วในการร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้งก่อนหน้า มิใช่พยานหลักฐานใหม่"
รวมทั้งยังพบว่าผู้ต้องหา ทนายความ และกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวกับคดีนี้ มีการใช้ "อิทธิพลทางการเมือง" กดดันกระบวนการยุติธรรม โดยมีการร้องขอความเป็นธรรมไปยังกรรมาธิการใน สนช. ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตำรวจระดับสูง เจ้าหน้าที่รัฐในกระบวนการยุติธรรมระดับสูง โดยเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2559 "กรรมาธิการ" บางคน ได้ให้ความเห็นและอ้างพยานหลักฐานเท็จเกี่ยวกับความเร็วรถของผู้ต้องหาที่กรรมาธิการคนนั้นมีส่วนจัดทำขึ้น เพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับผู้ต้องหา
ผช.ผบ.ตร. ยังไม่รู้ ตร.คนไหนเอื้อประโยชน์ในคดีบอส อยู่วิทยา
หลังนายวิชา มหาคุณ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญานายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเหตุเกิดเมื่อปี 2555 โดยมีการระบุระหว่างการแถลงว่าพบความผิดปกติ มีการช่วยเหลือในทางคดี และเห็นควรพิจารณาโทษทางวินัย และอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีนี้ของตำรวจ เปิดเผยว่า ได้ศึกษาจากเอกสารที่มีการแถลงชี้แจงของนายวิชาแล้ว ไม่ปรากฏรายชื่อชัดเจนว่ามีตำรวจนายใดเข้าข่ายความผิดบ้าง
ดังนั้นจะต้องรอว่าจะมีคำสั่งใดออกมาว่าอย่างไรบ้าง แต่ยืนยันได้ว่าการตรวจสอบของคณะกรรมการที่ผ่านมา มีการระบุรายละเอียดที่ชัดเจนถึงตำรวจที่กระทำผิดทั้ง 21 คน และได้เสนอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พิจารณาลงโทษทางวินัยไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ ส่วนข้อเสนอแนะที่ให้มีการสอบสวนคดีนี้ใหม่นั้น ตำรวจได้ดำเนินการสอบสวนพยานใหม่ ถึงขั้นมีการออกหมายจับ และส่งสำนวนให้อัยการรับไปพิจารณาแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการทำสำนวนคดีนี้ใหม่ทั้งหมดไปแล้ว
ปิดโรงเรียนพื้นที่ชายแดนเมียนมา3แห่ง สกัดโควิด-19 รอบ2
สถานการณ์เฝ้าระวังโควิด-19 ตามแนวชายแดนติดกับเมียนมา นายอำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาฯ กพฐ.) กล่าวว่า ขณะนี้มีโรงเรียนที่ปิดการเรียนการสอนในพื้นที่ชายแดนที่ติดกับเมียนมา 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนในจังหวัดกาญจนบุรี 1 แห่ง และโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2 แห่ง ซึ่งโรงเรียนทั้งสามแห่งนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ประสานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่มาประเมินอีกครั้งว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปิดเรียนจำนวนกี่วัน
กทม.เตือนหาก พบผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายแจ้งเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเฝ้าระวังการแพร่เชื้อโควิด-19
พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กรุงเทพมหานคร (ศบค.กทม.) เปิดเผยว่า ขอให้ผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างเป็นแรงงานต่างด้าวรวมทั้งประชาชนทั่วไป ร่วมเป็นหูเป็นตาให้กับหน่วยงานภาครัฐ หากพบเห็นแรงงานต่างด้าวที่อาจเข้าเมืองแบบไม่ถูกต้อง ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น เจ้าหน้าที่เทศกิจ หรือเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้านเพื่อเฝ้าระวังป้องกันการแพร่เชื้อ เนื่องจากผู้เข้าเมืองโดยไม่ถูกต้อง จะไม่ถูกกักตัวไว้สังเกตอาการซึ่งอาจเป็นพาหะนำโรคโควิด-19 เข้ามาสู่ประเทศไทยได้ และอาจจะทำให้ท่านและบุคคลใกล้ชิดได้รับเชื้อโควิด-19 รวมทั้งอาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในกรุงเทพฯ หรือประเทศไทยได้ด้วย
สธ.กังวล ไทยเสี่ยงหลังโควิด-19 ระบาดในรัฐยะไข่
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึง สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีรายงานการติดเชื้อภายในประเทศมาเป็นเวลา 99 วันแล้ว แต่ขณะนี้ประเทศไทยมีความเสี่ยงอย่างมากเพราะเกิดการระบาดในประเทศเมียนมา โดยเฉพาะในรัฐยะไข่ และเริ่มพบผู้ติดเชื้อในเมืองอื่นๆบ้าง เช่น ย่างกุ้ง แต่ไม่มาก ล่าสุดมีผู้ป่วยสะสม 882 คน เสียชีวิต 6 ราย ดังนั้นขณะนี้ประเทศไทยจึงมีความเข้มงวดอย่างมาก โดยฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ร่วมกันกวดขันอย่างเข้มงวดบริเวณชายแดน โดยเฉพาะพรมแดนธรรมชาติ
ส่วนการสั่งปิดโรงเรียน 2 แห่งใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากพบว่ามีนักเรียนที่มีผู้ปกครองเดินทางกลับมาจากเมียนมา ผ่านทางพรมแดนธรรมชาติและไม่ผ่านการกักตัว 14 วัน ถือว่าเป็นมาตรการที่เข้มข้นมาก แม้ว่ากรณีนี้ยังไม่ได้มีการยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อด้วยซ้ำ สิ่งที่โรงเรียนควรทำคืออาจจะให้นักเรียนรายที่มีผู้ปกครองเดินทางกลับมาจากเมียนมาหยุดเรียนเพราะเพื่อนในชั้นเรียนแทบไม่มีความเสี่ยงอะไรเลยสามารถมาเรียนได้ตามปกติ นักเรียนในโรงเรียนสามารถมาเรียนได้ตามปกติ
จากการสอบสวนโรค ขณะนี้ทราบเพียงว่าผู้ปกครองคนดังกล่าวเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีรายงานการระบาดในรัฐยะไข่และก่อนที่จะมีการสั่งปิดเมือง
ยอดผู้ป่วยโควิด-19 ใน'เมียนมา' วันเดียว 107 คน
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศเมียนมา พบผู้ป่วยใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จำนวน 107 คน ถือเป็นสถิติรายวันสูงสุดครั้งใหม่ โดยส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อจากภายในประเทศ ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 882 คน รักษาหายแล้ว 354 คน ยอดเสียชีวิตคงที่ 6 ราย
กระทรวงสาธารณสุขและกีฬาของเมียนมา ระบุว่า พบผู้ป่วยรายใหม่จำนวนดังกล่าวจากการตรวจทั้งหมด 2,913 ตัวอย่าง ส่วนใหญ่มาจากกรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงทางราชการ และนครย่างกุ้ง ศูนย์กลางทางพาณิชย์ กระทรวงไม่ได้ระบุรายละเอียดสถานที่ของการติดเชื้อล่าสุด แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในเมียนมายังคงอยู่ในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการแพร่เชื้อในช่วงหลายสัปดาห์มานี้
ทางการใช้คำสั่งปิดเมืองและห้ามออกนอกเคหสถานในรัฐยะไข่บางส่วน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังยอดผู้ติดเชื้อในชุมชนเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 300 คนในเวลาเพียงสองสัปดาห์ ครอบคลุม 11 เมือง รวมถึงเมืองซิตตเวที่มีชาวโรฮิงญาเกือบ 100,000 คนอาศัยอย่างแออัดตามค่ายผู้อพยพนับตั้งแต่เกิดเหตุรุนแรงระหว่างชาวพุทธและมุสลิมขึ้นในปี 2555
ด้านกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมาขยายเวลาระงับการออกวีซ่า และตรวจลงตราหน้าด่านให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ออกไปอีกอย่างน้อย 1 เดือน จนถึงวันที่ 30 ก.ย. นี้ เช่นเดียวกับสำนักงานการบินพลเรือนซึ่งขยายเวลาระงับการเข้าและออกของเที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างประเทศจนถึงสิ้นเดือนก.ย.นี้
เวียดนามเตรียมเปิดเที่ยวบินระหว่างประเทศ แต่ต้องกักตัว 14 วัน
เว็บไซต์ของรัฐบาลเวียดนาม ระบุว่า กรมการบินพลเรือนเวียดนาม กำลังพิจารณาแผนการที่จะเปิดรับเที่ยวบินโดยสารระหว่างประเทศอีกครั้งในกลางเดือนนี้ โดยจะบังคับให้ผู้โดยสารทุกคนกักตัวเป็นเวลา 14 วันเมื่อเดินทางถึงเวียดนามโดยแผนเปิดรับเที่ยวบินต่างประเทศคาดว่าจะเริ่มขึ้นในวันที่ 15 ก.ย.นี้ และจะให้สิทธิกับเที่ยวบินเส้นทางญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก่อนเป็นอันดับแรก เวียดนามได้ระงับเที่ยวบินโดยสารระหว่างประเทศไปเมื่อวันที่ 1 เม.ย. เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ครม.เห็นชอบ ลดเงินสมทบประกันสังคม ลดภาระนายจ้าง-ลูกจ้าง
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการจ่ายเงินสมทบนายจ้าง และผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 เหลือฝ่ายละร้อยละ 2 ของค่าจ้างผู้ประกันตนและผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละ 96 บาท จากที่ต้องจ่ายเดือนละ 432 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่งวดค่าจ้างเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2563 จากการได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การลดหย่อนการจ่ายเงินสมทบครั้งนี้ จะเป็นการลดภาระให้ผู้ประกันตน จำนวน 12.79 ล้านคน คิดเป็นเงิน 1.3 หมื่นล้านบาท และนายจ้าง 4.87 แสนราย คิดเป็นเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวม 2.4 หมื่นล้านบาท และหากคิดเป็นจำนวนเงินที่จะประหยัดของผู้ประกันตน มาตรา 33 เฉลี่ย 1,022 บาท และผู้ประกันตนมาตรา 39 เฉลี่ย 1,008 บาท