คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการ รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย พบว่า มีการร่วมมือกันอย่างเป็นระบบของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม,เจ้าหน้าที่ของรัฐ,ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง,ทนายความ,พยาน และบุคคลทั่วไป ในการเข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการดำเนินคดีจนถึงปัจจุบัน โดยใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อิทธิพลบังคับ และการสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย นับตั้งแต่ชั้นการสอบสวน จากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่แสดงปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด,ชี้ว่าสารเสพติดในร่างกาย,รายงานการตรวจพิสูจน์หลักฐานเกี่ยวกับความเร็วของรถในขณะเกิดเหตุ ตลอดจนความพยายามอย่างต่อเนื่องในการช่วยเหลือของนายวรยุทธ ให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ทำให้คณะกรรมการเชื่อว่า นายวรยุทธ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับงานปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ เสียชีวิต
ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน คณะกรรมการเห็นว่าเป็นกระบวนการมิชอบด้วยกฏหมาย จึงมีข้อเสนอ
-ต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ให้ถูกต้อง ในข้อหาที่ยังไม่ขาดอายุความโดยเฉพาะข้อหายาเสพติดให้โทษ ข้อหาขับขี่รถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจนข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
-จะต้องมีการดำเนินการทางวินัยและอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐคนอื่นที่ร่วมกระบวนการนี้
ทั้งนี้ คณะกรรมการเห็นว่า พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์ประจำ และหัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์โดยเฉพาะพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงสมควรกันไว้เป็นพยานและให้ความคุ้มครองพยานในการดำเนินคดีอาญาแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง
-จะต้องมีการดำเนินการทางจริยธรรม จรรยาบรรณ โดยหน่วยงานหรือองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้องต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและเปิดเผยให้สาธารณชนรับทราบ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
-สมควรกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มอบอำนาจต้องกำกับ ดูแล แก้ไข เปลี่ยนแปลง การปฏิบัติหน้าที่ของผู้รับมอบอำนาจให้ถูกต้องตามกฎหมายและจริยธรรม หากผู้บังคับบัญชาละเลยให้ถือว่าเป็นผู้บกพร่องต่อหน้าที่
-เนื่องจากคณะกรรมการจะพิจารณาเรื่องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างละเอียดต่อไป ในชั้นนี้ คณะกรรมการเห็นว่าสมควรเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายและระเบียบต่างๆอย่างเร่งด่วนดังต่อไปนี้
1.แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ ในเรื่องการร้องขอความเป็นธรรม โดยกำหนดให้การร้องขอความเป็นธรรม ผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาต้องมาร้องด้วยตนเอง โดยการร้องขอความเป็นธรรมจะต้องระบุเหตุและพยานหลักฐานให้ครบถ้วน และการร้องขอความเป็นธรรมเกินกว่าหนึ่งครั้งจะกระทำได้ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานใหม่ที่ไม่เคยนำเสนอมาก่อน
2.แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยการมอบอำนาจ โดยกำหนดให้การมอบอำนาจให้รองอัยการสูงสุดพิจารณาเรื่องขอความเป็นธรรมและการมอบอำนาจในการสั่งไม่ฟ้องต้องเป็นการมอบให้แก่รองอัยการสูงสุดอีกคน และไม่ว่าจะสั่งยุติเรื่องหรือสั่งให้ความเป็นธรรมตามการร้องขออธิบดีอัยการหรือรองอัยการสูงสุด ผู้มีอำนาจต้องรายงานให้อัยการสูงสุดทราบทุกกรณี
3.วางระเบียบในการมอบอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้เป็นไปตามมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ และในกรณีที่สั่งไม่ฟ้องตามความเห็นของพนักงานอัยการให้รายงานต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทราบทุกครั้ง
4.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาในเรื่องอายุความ ในทำนองเดียวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพ.ศ. 2560 คือหากผู้ต้องหาหลบหนีในระหว่างถูกดำเนินคดีอาญา และให้ฟ้องคดีโดยไม่ต้องมีตัวผู้ต้องหาได้และไม่ให้นับระยะเวลาที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ
เนื่องจากการดำเนินงานของคณะกรรมการมีระยะเวลาที่จำกัด ประกอบกับมีพยานหลักฐานซึ่งเป็นพยานบุคคลและพยานเอกสารเป็นจำนวนมาก จึงเห็นควรที่จะเสนอนายกรัฐมนตรี พิจารณาสั่งการให้ส่งเรื่องนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) คณะกรรมการอัยการ, คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ และสภาทนายความ ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป พร้อมเห็นสมควรเรื่องการดำเนินการให้คดีอาญาในเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
นายวิชา กล่าวถึง คำให้การของ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อ้างว่าในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ ดร.สายประสิทธิ์ และ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เข้าให้ข้อมูลเรื่องความเร็วรถ พล.ต.อ. สมยศ เดินทางไปร่วมการประชุมฟีฟ่า ที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไม่เป็นความจริง เนื่องจาก หลักฐานที่พบวันที่ทั้งคู่พบกัน เพื่อให้การเรื่องความเร็วของรถเป็นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งขณะนั้น พล.ต.อ.สมยศ อยู่ในประเทศไทยแล้ว