ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563

นายกฯ เตรียมแถลงคดี ‘บอส อยู่วิทยา’ เตรียมเอาผิดวินัย-อาญา 8 กลุ่ม

          วันนี้ ติดตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ แถลงรายละเอียดสรุปคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หลังจากที่เมื่อวานนี้ นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ในการค้นหาความจริงกรณีที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องให้นายกฯ พิจารณา นายวิชา เปิดเผยว่า รายงานฉบับนี้มีรายละเอียดกว่า 100 หน้า และมีข้อสรุปจริงประมาณ 10 หน้า ซึ่งเป็นรายละเอียดเขียนไว้ชัดเจนว่าเกิดความบกพร่องที่ใคร หน่วยงานไหน  หลังจากนี้คณะกรรมการฯยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่ออีก 30 วัน เพื่อสรุปแนวทางการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมต่อไป

รายงานระบุว่า เนื้อหาในรายงานตรวจสอบที่นายวิชาส่งมอบให้พล.อ.ประยุทธ์ แบ่งออกเป็น 5-6 ส่วนหลัก คือ

1.กระบวนการสอบสวนคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นควรให้มีการรื้อคดีสอบสวนใหม่ทั้งหมด เช่น การให้นายตำรวจที่ถูกชนและเสียชีวิตเป็นผู้ต้องหา การสร้างพยานหลักฐานเท็จโดยเฉพาะเรื่องความเร็วของรถเฟอร์รารี

2.เห็นควรให้สอบสวนทางวินัยและอาญากับผู้เกี่ยวข้องจำนวน 8 กลุ่ม โดยส่งเรื่องให้หน่วยงานสอบสวน เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ)

3.ให้สอบสวนจริยธรรมของผู้เกี่ยวข้องที่มีส่วนทำให้การสอบสวนมีความบกพร่องและให้เผยแพร่รายงานการสอบสวนต่อสาธารณชนทั้งหมด

4.ให้แก้ไขระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การมอบอำนาจ เมื่อผู้บังคับบัญชามอบอำนาจให้ระดับรองไปแล้ว ต้องเข้าไปติดตามกำกับดูแล ไม่ใช่เป็นการมอบอำนาจให้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนทำให้เกิดปัญหาเหมือนกรณีตำรวจและอัยการในคดีนายวรยุทธ ดังนั้น หากไม่ติดตามกำกับดูแลให้ถือว่าผู้บังคับบัญชามีความผิด

5.การร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการของผู้ต้องหา ควรพิจารณาดำเนินการได้เพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น ถ้าหากจะมีการร้องขอความเป็นธรรมเพิ่มเติม ต้องมีพยานหลักฐานใหม่เท่านั้น นอกจากนั้นเมื่ออัยการสูงสุด (อสส.) มอบให้รอง อสส.ไปดูแลงานเหล่านี้ จะต้องแยกการร้องขอความเป็นธรรมกับการสั่งคดีออกจากกันจะให้อยู่ที่รอง อสส.เพียงคนเดียวไม่ได้ เพื่อให้มีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

6.ควรมีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) กรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนี ให้ไม่มีอายุความเหมือนกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ผลสอบผู้ช่วยเลขาฯ ป.ป.ช.เล็งปืนใส่แท็กซี่ หลังขับปาดหน้ากัน ผิดวินัยไม่ร้ายแรง

          ผลการสอบสวนทางวินัยร้ายแรง นายพิเศษ นาคะพันธุ์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ปรากฏพฤติกรรมว่าลงจากรถยนต์ชักปืนเล็งไปในทิศทางคนขับรถแท็กซี่ หลังจากที่เกิดเหตุปาดหน้า บีบแตรไล่ เร่งเครื่องใส่กัน ที่บริเวณอาคารบี แยกกองบัญชาการกองทัพไทย ภายในศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ มีรายงานว่า คณะกรรมการสอบสวนวินัย ได้รายงานให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ทราบผลว่า นายพิเศษมีความผิดวินัยไม่ร้ายแรง ได้รับโทษว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน และลดขั้นเงินเดือน

          เมื่อถูกตั้งกรรมการสอบวินัย เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้เพิกถอนใบอนุญาตการใช้อาวุธปืนของนายพิเศษ ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าปัจจุบันนายพิเศษขอใบอนุญาตการใช้อาวุธปืน และสามารถพกพาอาวุธปืนได้หรือไม่

          ในส่วนคดีอาญา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งสำนวนฟ้องว่าเป็นการกระทำอันเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ โดยมีอาวุธ และเป็นการทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว หรือตกใจกลัว โดยการขู่เข็ญผู้เสียหายนั้น ขณะนี้อัยการได้สั่งฟ้องแล้ว คดีอยู่ในชั้นศาล

กมธ.งบประมาณฯ เห็นว่า ยังไม่เหมาะที่จะซื้อเรือดำน้ำในช่วงนี้

         หลังจากมีการชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่สองและลำที่สามของกองทัพเรือออกไปก่อน 1 ปี การพิจารณารายงานของคณะอนุกรรมาธิการ(กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ที่มีนายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธาน นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธาน กมธ. เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้เชิญ กมธ.แต่ละพรรคไปหารือถึงความเหมาะสมเกี่ยวกับเรือดำน้ำ จากการสอบถามได้มีข้อสรุปเห็นตรงกันว่าการมีเรือดำน้ำมีความจำเป็นอย่างยิ่ง จำนวน 3 ลำน้อยเกินไป เนื่องจากประเทศไทยมีทะเลถึงสองฝั่งและพื้นที่ชายฝั่งทะเล 12 ไมล์ทะเล และยังมีพื้นที่ทับซ้อนด้านความมั่นคงที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชน เมื่อมาถึงการพิจารณางบประมาณปี 2564 ปรากฏว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่ได้คลี่คลาย ยังไม่มีวัคซีน ดังนั้น กมธ.งบประมาณ เห็นว่าแม้เรือดำน้ำมีความจำเป็น แต่ยังไม่เหมาะในเวลานี้เพราะโควิด-19 อาจเกิดการแพร่ระบาดรอบสองได้

กระทรวงกลาโหม-กองทัพเรือ ตัดงบฯ ให้กว่า 3,000 ล้าน

          กระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือ แจ้งมาที่ กมธ.ว่ากองทัพเรือ ยินดีให้ปรับงบประมาณจำนวน 3,925 ล้านบาทในส่วนที่จะต้องจ่ายออกไปก่อนให้เป็นศูนย์ ให้กองทัพเรือไปใช้งบประมาณในปีถัดไปตามเห็นสมควร และให้กองทัพเรือไปเจรจากับทางผู้ผลิตว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรในการทำให้ประเทศไทยมีเรือดำน้ำตามความประสงค์ ปีนี้เลื่อนงบประมาณงวดแรกในการจ่ายเรือดำน้ำออกไป กองทัพเรือได้มีหนังสือแล้วส่วนเงินที่ปรับออกไปเป็นหน้าที่ของหน่วยรับงบประมาณและสำนักงบประมาณจะไปพิจารณา

CR: Thon Thamrongnawasawat