มหาวิทยาลัยฮ่องกง เผยผลการวิจัยที่พบว่ามีผู้ป่วยชายคนหนึ่งเป็นผู้ที่หายป่วยจากโควิด-19 แล้วแต่กลับมาติดเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง หลังจากเวลาผ่านไป 4 เดือนครึ่ง โดยเป็นไวรัสโควิด-19 อีกสายพันธุ์หนึ่ง แต่นักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกต่างระบุว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดหมายเนื่องจากการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันมีมากกกว่า 10 สายพันธุ์แล้ว และเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังหาทางรักษาผู้ติดเชื้อโดยใช้แอนติบอดีจากผู้ที่หายป่วยแล้ว ตลอดจนการพัฒนาวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ในรายงานที่มีการเผยแพร่ผ่านวารสารการแพทย์เกี่ยวกับโรคติดเชื้อทางคลินิก (Clinical Infectious Diseases) ระบุว่า ผู้ป่วยชายรายนี้มีอายุ 33 ปี ติดเชื้อครั้งแรกและรับการรักษา 14 วัน จึงหายป่วยออกจากโรงพยาบาลเมื่อเดือนเมษายน จากนั้นเขาเดินทางไปต่างประเทศ และถูกตรวจพบว่าติดเชื้ออีกครั้ง จากการตรวจที่สนามบินหลังจากเดินทางกลับจากสเปนผ่านสหราชอาณาจักร เมื่อ 15 สิงหาคม แต่เชื้อที่ถูกตรวจพบในครั้งที่ 2 นี้มีความชัดเจนว่าเป็นคนละสายพันธุ์กับเชื้อที่พบครั้งแรก และเขาไม่ได้แสดงอาการป่วย
องค์การอนามัยโลก เตือนว่ากรณีที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย 1 คนไม่สามารถนำมาเป็นผลสรุปว่าจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยสะสมมากกว่า 23 ล้านคนทั่วโลก เพราะการติดเชื้อซ้ำเป็นกรณีหายากและผู้ที่หายป่วยแล้วจะมีระบบภูมิคุ้มกันเมื่อร่างกายต้องต่อสู้กับไวรัสซึ่งจะช่วยป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำอีก โดยมีหลักฐานที่พบการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งที่สุดในผู้ป่วยที่มีอาการป่วยหนักที่สุด และองค์การอนามัยโลกมีความเห็นว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสโคโรนามาก่อนเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม
ศจ.เบรนเดน เวิร์น จากวิทยาลัยสุขภาพและเวชศาสตร์เขตร้อนแห่งลอนดอน (London School of Hygiene and Tropical Medicine) เปิดเผยว่า นี่คือตัวอย่างที่เกิดขึ้นได้ยากของการกลับมาติดเชื้อซ้ำ แต่ไม่มีผลลบต่อการพัฒนาวัคซีน เนื่องจากไวรัสมีธรรมชาติเรื่องการกลายพันธุ์อยู่แล้ว
และดร. เจฟฟรีย์ บาร์เร็ต ที่ปรึกษาอาวุโสด้านวิทยาศาสตร์ของโครงการจีโนม โควิด-19 ที่สถาบันเวลล์คัม แซงเกอร์ (Wellcome Sanger Institute) กล่าวว่า จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกในปัจจุบัน หากจะมีการติดเชื้อซ้ำเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่หายากมากก็ตาม ทั้งมีความเป็นไปได้ว่าการติดเชื้อครั้งที่สอง จะมีอาการไม่ร้ายแรงและในขณะนี้เราก็ยังไม่ทราบว่าเขาติดเชื้อในครั้งที่ 2 นี้ได้อย่างไร
....