นายกฯ แจงการเปิดรับนักท่องเที่ยว ต้องค่อยๆผ่อนปรน ให้ทุกฝ่ายยอมรับ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงเรื่องการเตรียมเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยว่าเป็นการเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 : ศบค.) เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่แม้ว่ารัฐบาลจะส่งเสริมให้ท่องเที่ยวในประเทศไทยแต่จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศมีเพียง 1,000,000-2,000,000 คน ไม่สามารถทดแทนรายได้ที่หายไปจากยอดนักท่องเที่ยว 20 ล้านคนได้ จึงจะหาวิธีการที่เหมาะสม ค่อยๆผ่อนปรน แต่ต้องให้ทุกคนยอมรับได้เพราะหากรัฐบาลไม่ดำเนินการใดๆ จะกระทบเศรษฐกิจและหลายธุรกิจต้องปิดตัว ขอทุกคนอย่าตื่นตระหนก เพราะประเทศไทยมีความสามารถด้านการบริหารจัดการกับโควิด-19 จนได้รับความยอมรับ แม้มีผู้ติดเชื้อก็สามารถติดตามตัวและไม่ให้ขยายวงกว้างได้
นายกฯ กล่าวว่า ปัญหาโควิด-19 และเศรษฐกิจจะต้องแก้ไขควบคู่กันไปเพื่อหารายได้เข้าประเทศ ทดแทนที่รัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้า รวมถึงภาคแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้างงาน ซึ่งรัฐบาลกำลังจัดหางานให้กับแรงงานที่ว่างงานอยู่
บาหลี ยังไม่พร้อมรับนักท่องเที่ยว ปิดยาวถึงสิ้นปี
ทางการของเกาะบาหลีของอินโดนีเซีย ประกาศขยายเวลาปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไปจนถึงสิ้นปีนี้เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับโควิด-19 ภายในประเทศ ซึ่งเป็นการขยายเวลาออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้ว่าจะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ในเดือนหน้านี้ ประกาศนี้ ยังทำให้เกิดความกังวลอีกครั้งเกี่ยวกับผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยซึ่งมีรายได้ขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยว เนื่องจากโควิด-19 ทำให้อินโดนีเซียปิดประเทศ เกาะบาหลีจึงต้องเปลี่ยนไปหานักท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งนายวายัน โคสเตอร์ ผู้ว่าการเกาะบาหลี กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่เอื้ออำนวยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยี่ยมชม และกล่าวว่า การเปิดรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งจะต้องมีการเตรียมการอย่างความรอบคอบ
ไทย ยังเสี่ยงโควิด-19 ระบาดรอบ 2 เร่งเดินหน้าผลิตวัคซีน
การเดินหน้าผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) สัญจร ที่จ.ระยอง อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงิน 1,000 ล้านบาท น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่ายังพบการระบาดในหลายประเทศทั่วโลก ในส่วนของไทยควบคุมป้องกันโรคได้เป็นอย่างดีแต่มีโอกาสที่จะเกิดการระบาดระลอกที่ 2 เนื่องจากทั่วโลกยังมีผู้ป่วยจำนวนมาก หากสถานการณ์การระบาดไม่สามารถยุติได้ จะส่งผลกระทบทำให้การเปิดประเทศเพื่อเดินหน้าสู่การดำเนินชีวิต New Normal คู่ขนานไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นไปได้ยากและรัฐบาลยังจำเป็นต้องมีมาตรการช่วยเหลือประคองกิจการต่างๆ ในประเทศให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนั้น วัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 จึงเป็นยุทธปัจจัยที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันควบคุมโรค
เยียวยาชาวสวนลำไย ไร่ละ 2,000 บาท 200,000 ครัวเรือน เริ่มส.ค.-ธ.ค.63
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.อนุมัติโครงการเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไย ปีการผลิต 2563 เพื่อดูแลชาวสวนลำไยจำนวน 200,000 ครัวเรือน ภายใต้กรอบวงเงิน 3,400 ล้านบาท แนวทางการช่วยเหลือ
-จะใช้เงินเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยในอัตราไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนส.ค.-ธ.ค. 2563 โดยจะจ่ายเงินให้กับเกษตรกรโดยตรง เกษตรกรผู้มีสิทธิ์จะต้องเป็นชาวสวนที่ขึ้นทะเบียนปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ภายในวันที่ 15 ก.ย. 2563 การอนุมัติครั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศ และการระบาดของโควิด-19 จนทำให้ไม่สามารถส่งออกได้
ครม. ยังได้เห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการประกันรายได้ชาวสวนปาล์มออกไปอีก 3 เดือนจากเดิมสิ้นสุดโครงการก.ย. 2563 เป็นสิ้นสุดธ.ค. 2563
นพ.แท้จริง ยื่นหลักฐานใหม่เมาแล้วขับ คดี“บอส”
บ่ายวันนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา นายวรยุทธ อยู่วิทยา ที่มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน นัดประชุมติดตามความคืบหน้าการสอบพยานเพิ่มเติมทั้งในฝ่ายของตำรวจและบุคคลทั่วไป นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ จะยื่นหนังสือมอบข้อมูลที่เป็นหลักฐานใหม่เมาแล้วขับในคดีนายวรยุทธ ให้นายวิชา ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อาคารเทเวศร์
คณะทำงานอ.วิชา สรุปส่งนายกฯ 31ส.ค.
คณะทำงานชุดตรวจสอบตำรวจ ที่มีพล.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม เป็นประธาน ได้ดำเนินการสอบปากคำ พล.ต.ต.วรวัฒน์ อมรวิวัฒน์ ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) มาชี้เแจงเรื่องการถอนหมายจับนายวรยุทธ จากตำรวจสากล และ พ.ต.อ.รณชัย รอดลอย ผู้กำกับการ สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ มาชี้แจงข้อมูลคดีการเสียชีวิตของนายจารุชาติ มาดทอง หนึ่งในพยานคนสำคัญที่ให้การหักล้างสำนวนคดีเอาผิดนายวรยุทธ เสร็จไปเมื่อวันที่ 24 ส.ค.เพื่อนำมาประมวลผลและรวบรวมข้อมูลยกร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ส่งให้พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อพิจารณาภายในสิ้นเดือนส.ค.
ศุกร์นี้ สน.ทองหล่อ สรุปสำนวนส่งอัยการ เรื่องความเร็วรถ-สารที่พบในร่างกาย
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ได้รวบรวมหลักฐานขออนุมัติหมายจับนายวรยุทธ จากศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยศาลอนุมัติหมายจับในข้อหา “ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถผู้อื่นเสียหาย มีผู้ถึงแก่ความตาย, ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที และ เสพยาเสพติดให้โทษ ประเภท 2 (โคคาอีน) โดยผิดกฎหมาย มีอัตราโทษสูงเกิน 3 ปี ภายในอายุความ 15 ปี (อายุความเดิม) เพื่อจะได้ดำเนินตามกฎหมาย ไม่เกินวันที่ 3 ก.ย. 2570 หลังจากนี้ พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปฃ
ด้าน พ.ต.ท.ธนาวุฒิ สงวนสุข รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ทองหล่อ กล่าวถึง การสอบสวนในประเด็นความเร็วของรถยนต์ และสารที่พบในร่างกาย ได้สอบปากคำไปแล้วหลายปาก ขณะนี้เตรียมสรุปสำนวนส่งให้อัยการภายในวันศุกร์ที่ 28 ส.ค.
รวบผู้ต้องหาขับรถบรรทุกขนยาฯล็อตใหญ่ มูลค่ากว่า 1,600 ล้าน
เจ้าหน้าที่และสายลับติดตามพฤติกรรมและสามารถจับกุม นายศักดิ์ชัย แกรอด อายุ 59 ปี ชาว จ.ราชบุรี บริเวณจุดตรวจร่วมสามแยกอำเภอทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 24 ส.ค. พร้อมของกลางเฮโรอีน 77 กก. ไอซ์ 1,385 กก. เคตามีนชนิดน้ำ 500 กก. โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง รถบรรทุก 12 ล้อ ยี่ห้อฮีโน่ ทะเบียนป้ายเหลือง 72-5155 นครปฐม ใช้ดัดแปลงชุกซ่อนยาเสพติดของกลาง รวมมูลค่าของกลาง 1,637 ล้านบาท
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เดินทางลงพื้นที่พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงรายละเอียดว่า นายศักดิ์ชัย ให้การรับสารภาพว่า นายกู๋ (ขอสงวนชื่อ-นามสกุลจริง) ชาว จ.นครปฐม ว่าจ้างให้ขับรถบรรทุกที่ซุกซ่อนยาเสพติดไว้ในช่องลับแต่ไม่ทราบจำนวนจาก อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยให้ขับรถยนต์ส่วนตัวไปหาที่อ.สังขละบุรี แล้วเปลี่ยนไปขับรถบรรทุกที่ซุกซ่อนยาเสพติดเอาไว้ โดยให้ตนขับไปส่งตามจุดที่กำหนดไว้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ จ.ปทุมธานี เมื่อเสร็จแล้วกลับมาเอารถยนต์ โดยจะมีเงินค่าจ้างวางอยู่ในรถ ทำมาแล้ว 3 ครั้ง ได้ค่าจ้างครั้งละ 150,000 บาท จนมาถูกจับกุมในครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ 4
การจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ชุดสังเกตเห็นผู้ต้องหาขับรถเก๋งมุ่งหน้าไปทาง อ.สังขละบุรี ด้วยท่าทางมีพิรุธ จึงให้สายลับเฝ้าติดตาม จนผู้ต้องหาถึง อ.สังขละบุรี ก็ได้เปลี่ยนยานพาหนะเป็นรถบรรทุกคันดังกล่าว จึงได้เฝ้าติดตามและควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ ดำเนินคดี