พิษณุโลก เตรียมผันน้ำลงทุ่ง คาดพรุ่งนี้มวลน้ำเพิ่มสูงสุด
สถานการณ์น้ำจากตอนบนกำลังไหลเข้าสู่ จ.พิษณุโลก นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมการผันน้ำเข้าสู่ทุ่งเพื่อเก็บไว้ให้เกษตรกรใช้ โดยจะมีการประชุมขอความร่วมมือกับเกษตรกรในพื้นที่ว่าพื้นที่ใดพร้อมรับน้ำก็จะเริ่มนำมวลน้ำก้อนนี้เข้าสู่ทุ่งเพื่อเก็บไว้ในช่วงหน้าแล้ง
นายชำนาญ ชูเที่ยง ผู้อำนวยการโครงการชลประทานพิษณุโลก แจ้งเตือนประชาชนใน จ.พิษณุโลก เตรียมความพร้อมรับน้ำแม่น้ำยม จาก จ.สุโขทัย โดยเฉพาะคนที่อยู่ริมตลิ่งแม่น้ำยมสายหลักและริมตลิ่งแม่น้ำยมสายเก่า-คลองเมม-คลองบางแก้ว อ.พรหมพิราม อ.เมือง และ อ.บางระกำ ให้เฝ้าระวังสถานการณ์ และเตรียมขนของขึ้นที่สูง เพราะคาดว่าวันพรุ่งนี้ ช่วงเวลา 08.00-12.00 น.น้ำจะไหลผ่านสูงสุดที่อ.บางระกำ หลังจากนั้นแนวโน้มจะลดลง
มวลน้ำจากจ.สุโขทัยผ่านจุดวิกฤตแล้ว น้ำหลากเข้ามาที่จ.พิษณุโลกกว่า 100 ล้าน ลบ.ม. วันเดียวมวลน้ำเข้ามาถึง 60-70 ล้าน.ลบ.ม. ถือว่ามากที่สุด ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มต่ำ น้ำจะล้นตลิ่งเข้าสู่พื้นที่เกษตร หากน้ำมากเกิน ชลประทาน จะเปิดประตูแก้มลิงตามจุดต่างๆที่ลุ่มต่ำให้เข้าสู่ทุ่งบางระกำทันที ขณะที่บริเวณบ้านใหม่สำราญ หมู่ 10 ต.ท่าช้าง พื้นที่ต่ำกว่าตลิ่งทั่วไป เจ้าหน้าที่จึงช่วยทำคันดินให้แข็งแรงป้องกันน้ำทะลัก หรือพนังแตกท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร
กำชับ จ.นครสวรรค์ เตรียมแผนเผชิญเหตุรับน้ำเป็นจังหวัดต่อไป
นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ดำเนินการตามแผนและมาตรการของรัฐบาล ให้ดูแลความปลอดภัยและชีวิตของประชาชนเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ต้องกังวล เพราะรัฐบาลและกระทรวงการคลังมีระเบียบเตรียมพร้อมไว้แล้วว่าจะเยียวยาและฟื้นฟูประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างไร จะดูแลรวมไปถึงทรัพย์สินเสียหาย ที่สำคัญคือการดูแลที่อยู่และอาหารการกินให้ประชาชนอพยพหนีน้ำท่วมด้วย
จังหวัดนครสวรรค์ จะเป็นพื้นที่ต่อไปที่จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม นายนิพนธ์ กล่าวว่า เตรียมแผนรองรับไว้แล้ว เพราะมวลน้ำจะเดินทางไล่ลงไป มีแผนเยียวยาและแผนเผชิญเหตุจะเกิดขึ้นในอนาคต ปีนี้กระแสน้ำเชี่ยวกรากมาก และปีนี้ปริมาณน้ำมากกว่าปีที่แล้ว แต่ปีที่แล้วภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับความเสียหายหนักมากจากพายุโพดุล
ฝ่ายกฎหมายไทย พร้อมรับมือ เฟซบุ๊กฟ้องว่าทำผิดหลักสากลเรื่องสิทธิเสรีภาพ
วันนี้ ติดตามการแถลงรายละเอียดของนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กรณีเฟซบุ๊กสำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯ เตรียมดำเนินการตามกฎหมายกับรัฐบาลไทยว่าทำผิดหลักสากลเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงออก หลังจากที่กระทรวงดีอีเอส ขอให้เฟซบุ๊กบล็อกเพจ หรือบัญชีผู้ใช้ที่โพสต์เนื้อหาที่พาดพิงสถาบัน เบื้องต้น นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่ากระทรวงดีอีเอส ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย ส่งคำสั่งศาลไปให้เฟซบุ๊กลบเนื้อหาต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้องภายใน 15 วัน และทุกคนที่ดำเนินธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยต้องเคารพกฎหมายไทย นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ทำตามกฎหมายอย่างเข้มแข็งนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและไม่กังวลทำให้กระทบความเชื่อมั่นการลงทุนต่างชาติ
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ กำลังพิจารณาในข้อกฎหมาย และกำลังดูที่มาที่ไปของเรื่องนี้ แต่ถ้าผู้โพสต์ทำผิดกฎหมายของไทย รัฐบาลก็อยู่ในฐานะที่ใช้กฎหมายของไทยเข้ามาควบคุมให้เกิดความถูกต้อง ส่วนเรื่องสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายระหว่างประเทศ ถือเป็นอีกเรื่อง แต่จะมาใช้ในกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้หรือไม่ เราต้องพิจารณาดูว่าเว็บไซต์นั้นๆ มีคุณสมบัติอย่างไร นำเสนอเรื่องที่ดีที่เกิดขึ้นกับประชาชนหรือสังคมไทยได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ทำอย่างนั้น ก็จะเกิดปัญหาได้
มติส.ส.ปชป.ค้านซื้อเรือดำน้ำ
นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมส.ส.พรรคประชาธิปัตย์มีมติเป็นเอกฉันท์เสนอรัฐบาลหารือกองทัพเรือทบทวนนำวาระจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนจำนวน 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท ออกจากวาระการพิจาณาของกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 สภาผู้แทนราษฎร ในวันนี้ เนื่องจากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำคัญมากกว่าแต่หากกองทัพเรือ ยืนยันนำเรื่องจัดซื้อเรือดำน้ำเข้าสู่วาระการประชุมของกมธ. สมาชิกทั้ง 7 คนของพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่โหวตสนับสนุนให้ผ่านงบประมาณจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้แน่นอน
นายชัยชนะ เดชเดโช รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่าแจ้งให้พรรคพลังประชารัฐ รับทราบเรียบร้อยว่า พรรคประชาธิปัตย์ ต้องการให้รัฐบาลประสานกองทัพเรือชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำออกไป
พรรคเพื่อไทย เตรียมชงศาลรธน.พิจารณา
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะกมธ. ระบุว่า หาก กมธ. คนใดยกมือสนับสนุนโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำต้องรับผิดชอบและเตรียมใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 75 ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ทั้งนี้ คณะกมธ. มีทั้งหมด 72 คน แบ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล 48 คน และฝ่ายค้าน 24 คน เสียงเกินครึ่งหนึ่ง คือ 36 เสียง