โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง มีผลมาจากระดับกรดยูริกในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการตกผลึกของเกลือยูเรตบริเวณข้อและเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกาย ผลึกดังกล่าวมีผลกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทำให้เกิดกระบวนการอักเสบตามมา ส่วนมากโรคเกาต์พบมากในเพศชายอายุ 30 ปีขึ้นไป ส่วนเพศหญิงจะพบมากในช่วงวัยหลังหมดประจำเดือน นพ.เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ แนะแนวทางการรักษาโรคเกาต์ว่าควรใช้การรักษาโดยวิธีไม่ใช้ยาและใช้ยาร่วมกัน ซึ่งจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง
สำหรับการรักษาโดยวิธีไม่ใช้ยา สามารถทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มร่วมกับการดูแลโรคควบคู่กันไปด้วย ควรเลือกรับประทานโปรตีนจากไข่ เต้าหู้ นมและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่ำ และควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด รวมถึงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์,ไข่ปลา,ยอดผักต่างๆ ลดการรับประทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด น้ำผลไม้และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุ๊กโตส เช่น ชาเขียวพร้อมดื่ม งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ หากรับประทานอาหารชนิดใดแล้วมีอาการข้ออักเสบให้หลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้นๆ เพื่อป้องกันข้ออักเสบ
ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ชี้แจง อาการของโรคเกาต์หลักๆว่า อาการสามารถปรากฏได้หลายรูปแบบ คือ ข้ออักเสบ มักจะมีอาการแบบเฉียบพลัน เริ่มแรกมักเป็นข้อเดียว โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดที่โคนข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า โดยมีอาการปวด บวมแดง ร้อน เจ็บเมื่อกด และอาจมีไข้ร่วมด้วย บางรายพบก้อนโทฟัส (tophus) ซึ่งเกิดจากการสะสมของผลึกเกลือยูเรตในเนื้อเยื่ออ่อน ข้อต่อ กระดูก และกระดูกอ่อน มักพบบริเวณศอก ตาตุ่ม นิ้วมือ นิ้วเท้า ส่วนนิ่วในทางเดินปัสสาวะ พบประมาณร้อยละ 10-25 ของผู้ป่วยโรคเกาต์