กองทัพเรือแถลงชี้แจงการจัดซื้อเรือดำน้ำเพิ่ม 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท โดยพล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า การใช้เงิน 22,500 ล้านบาทไม่ได้จัดซื้อในปี 2564 ครั้งเดียว แต่เป็นแบ่งจ่ายใน 7 ปี ดังนั้นการกล่าวหาเช่นนี้ถือเป็นการสร้าง ความเกลียดชังให้สังคม เรื่องนี้เป็นความลับของราชการ รัฐบาลได้จัดหางบประมาณมา ช่วยเหลือและแก้ปัญหาประชาชนทุกด้าน โดยการนำเนื้อหา การจัดซื้อมาโจมตีและให้ข่าวที่ผิด ทั้งใช้เงินฟุ่มเฟือย ถือเป็นเรื่องการเมืองและเห็นแก่ตัวที่สุด จะยอมให้นักการเมืองนำเรื่องไม่จริงมาสร้างความเดือดร้อนทำไม จึงขอให้หยุดทำให้ประชาชนเกลียดชังกองทัพ
พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ กล่าวชี้แจงว่า นักการเมืองบางคนนำข้อมูลออกมาแถลงบางประเด็นไม่ครบถ้วน มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน อาจหวังผลทางการเมืองเพื่อให้กระทบรัฐบาล เกี่ยวข้องความมั่นคง จึงจำเป็นต้องนำข้อเท็จจริงมาชี้แจงให้รับทราบ ซึ่งเรือดำน้ำเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์สำคัญของชาติ เราเล็งเห็นความสำคัญมาตลอด และเป็นการจัดหาตามแผนยุทธ์ศาสตร์ แผนป้องกันประเทศ แต่เรือดำน้ำมักถูกโยงเป็นประเด็นทางการเมือง ยืนยันว่า ตามโครงการจัดหาต้องมี 3 ลำ และผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีแล้ว จึงนำมาสู่กระบวนการจัดหาเรือดำน้ำลำแรกปี 2560 ซึ่งลำแรกนี้จะเข้าประจำการในปี 2566
ด้าน พล.ร.ท.เถลิงศักดิ์ ศิริสวัสดิ์ เจ้ากรมยุทธการทหารเรือ ได้เปิดวีดิทัศน์ตัวเดียวกับที่ฉายในอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ฯ กว่า 69 ปีแล้วที่ไทยไม่มีเรือดำน้ำ แต่รอบบ้านของเรายังมีพื้นที่พิพาท เรือดำน้ำเพื่อให้เรามีกำลังเรือที่สมดุลและสมบูรณ์ กระทั่งเริ่มจัดซื้อได้ในปี 2560 และอยากฉายภาพว่าทะเลจีนใต้เป็นเส้นเลือดใหญ่ของไทย หากเกิดการปะทะ แล้วไม่มีกำลังเข้มแข้งเพียงพอ ผลประโยชน์ชาติ 24 ล้านล้านบาท จะถูกกระทบแน่นอน พร้อมยกตัวอย่างว่า หากซื้อเรือดำน้ำวันนี้ อีก 6 ปีกว่าได้รับ ขอยืนยันว่าผลประโยชน์ของชาติ 24 ล้านล้าน กับงบ 3,925 ล้านบาท เทียบเท่ากับ ร้อยละ 0.093 เท่านั้น กองทัพเรือรอบคอบ และใช้งบประมาณอย่างความคุ้มค่าอย่างเต็มที่
ส่วนพล.ร.ท.ธีรกุล กาญจนะ ปลัดบัญชีทหารเรือ กล่าวว่า การจัดหาเรือดำน้ำอีก 2 ลำเป็นการจัดหาแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่การผูกพันงบใหม่ โดยเป็นรายการเสริมสร้างกำลัง กองทัพ โดยทยอยตั้งงบประจำปีตามกรอบ ไม่ได้ขอรับงบเพิ่มเติม ซึ่งงบนี้อยู่ในงบประมาณ ปี 63 แล้ว โดยรายการนี้กำหนดว่าปี 63 จ่าย 3,375 ล้านบาท ปี 64 จ่าย 3,925 ล้านบาท ปี 65 จ่าย 2,640 ล้านบาท ปี 66 จ่าย 2,500 ล้านบาท ปี 67 จ่าย 3,060 ล้านบาท ปี 68 จ่าย 3,500 ล้านบาท ปี 69 จ่าย 3,500 ล้านบาท
แต่ในช่วงโควิด-19 ระบาด จึงประสานไปยังจีนและขอคืนงบประมาณก้อนแรกปี 63 ที่ตั้งไว้แล้ว 3,375 ล้านบาท โดยเป็นการชะลอโครงการ รวมถึงโครงการอื่น เพื่อใช้แก้ปัญหาโควิด-19 ซึ่งกองทัพเรือได้ปรับปรุงเนื้อหาใหม่ โดยมีกำหนดลงนามรัฐต่อรัฐในเดือนก.ย. โดยการจัดงบของกองทัพเรือ ทำโดยความรอบคอบและประหยัด ตระหนักถึงงบของชาติและตั้งงบในกรอบ โดยยืนยันงบ 22,500 ล้านบาท เป็นการจ่ายใน 7 ปี โดยใช้จ่ายตามงบประจำปี ด้วยการตัดงบจัดซื้อยุทโธปกรณ์อื่นลง
ขณะที่น.อ.ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล รองผอ.สำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ กล่าวว่า ตามที่มีผู้ให้ข่าวการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 1 ส่อเป็นโมฆะนั้น ยืนยันกองทัพเรือไม่พูดเท็จต่อประชาชน และเราไม่ได้อยากซื้อแล้วจะซื้อ เรามียุทธศาสตร์และวิเคราะห์ โดยเรือดำน้ำมีความจำเป็นต่อประเทศ เพื่อสร้างความมั่งคั่งและผาสุข โดยเฉพาะสมบัติทางทะเล เราไม่ได้คิดแค่ปีสองปีถึงจัดซื้อเรือดำน้ำ เพื่อเสริมอำนาจการต่อรอง และมีกำลังไปคุยกับคนอื่นได้ ก่อนเสนอครม.และเห็นชอบซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำเมื่อปี 58 ก่อนองค์กรต่างๆ จะประสานงานและพิจารณา โดยเห็นว่าเรือจากจีนคุ้มค่าสุด
ส่วนที่บอกว่าจีทูจีปลอม ถือเป็นการกล่าวเท็จและข้อมูลที่ผิด ยืนยันเป็นจีทูจีจริง จึงขออย่าสร้างความแตกแยก โดยรัฐบาลมองว่าการซื้อเรือดำน้ำแบบจีทูจีเป็นความเห็นชอบและตรวจสอบจากหลายหน่วยงาน ก่อนรัฐบาลสั่งการให้กองทัพเรือดำเนินการและเมื่อวันที่ 1 พ.ค.60 ผบ.ทร.ในขณะนั้น จึงอนุมัติให้พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือในตอนนั้น ไปลงนาม ซึ่งมีการมอบอำนาจชัดเจน
ส่วนจีนมีการสั่งการซัสตินและมอบอำนาจให้บริษัท ซีเอสโอซี ที่รับมอบอำนาจมาลงนามร่วมกันกับทางการไทยอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นคนที่มาลงนามได้รับมอบอำนาจมา จึงไม่ใช่จีทูจีปลอม กองทัพเรือไม่เคยพูดเท็จกับประชาชน
สำหรับการแถลงข่าวครั้งนี้ นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และประธานวิปพรรคก้าวไกล และนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล รองประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้เข้าร่วมฟังการแถลงข่าวด้วย