สหรัฐฯ-จีน ตอบโต้ มาตรการลงโทษครั้งใหม่กับหัวเว่ย
สหรัฐฯ ห้ามบริษัทโทรคมนาคมในประเทศใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยวางเครือข่าย 5 จี (5G) และพยายามกดดันประเทศพันธมิตรให้ทำตาม ล่าสุด รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศจะยกระดับคุมเข้มไม่ให้บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี ของจีนสามารถเข้าถึงชิปคอมพิวเตอร์เพื่อการพาณิชย์ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยไม่มีใบอนุญาตพิเศษ รายงานระบุว่า คณะผู้บริหารของนายทรัมป์ ยังได้เพิ่มรายชื่อ 38 บริษัทใน 21 ประเทศที่เป็นกิจการในข่ายของหัวเว่ย ลงในบัญชีดำทางเศรษฐกิจ ทำให้ขณะนี้มี152 บริษัทที่ถูกขึ้นบัญชี สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า บริษัทในเครือหัวเว่ย ที่ได้รับผลกระทบ เช่น บริษัทในจีน, บราซิล, อาร์เจนตินา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สิงคโปร์, ไทย, และสหราชอาณาจักร
นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวว่า หัวเว่ยและบริษัทในเครือบ่อนทำลายความมั่นคงแห่งชาติและผลประโยชน์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ตอกย้ำสิ่งที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อ้างว่า หัวเว่ยเป็นภัยความมั่นคงเพราะมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีน
ส่วนท่าทีของจีน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวว่า ไม่มีหลักฐานว่าผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ยมีช่องโหว่หรือรูรั่วด้านความปลอดภัย การที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศห้ามบริษัทในเครือหัวเว่ย 38 แห่งซื้อชิปคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีอื่น ๆ ของสหรัฐฯเท่ากับทำลายข้ออ้างสุดท้ายเรื่องหลักการเศรษฐกิจระบบตลาดและการแข่งขันอย่างเป็นธรรมที่สหรัฐฯโอ้อวดมาโดยตลอด รัฐบาลสหรัฐฯใช้อำนาจระดับชาติในทางมิชอบด้วยการจำกัดหัวเว่ยและผู้ประกอบการจีนในทุกรูปแบบ ขอให้สหรัฐฯแก้ไขความผิดพลาด เพราะจีนจะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของธุรกิจจีนต่อไป
ฮ่องกง ไม่ยอมสหรัฐฯ ฟ้อง WTO ถูกสหรัฐฯคว่ำบาตร ลิดรอนเสรีภาพ
หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ของจีนและฮ่องกงจำนวน 11 คน รวมถึงนางแคร์รี แลม ผู้บริหารสูงสุดของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ตอบโต้กรณีที่จีนออกกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง โดยระบุว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นการริดรอนเสรีภาพในฮ่องกง และบุคคลเหล่านี้จะไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆกับชาวอเมริกันได้ ล่าสุด นางแลม กล่าวว่า ฮ่องกงเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก(WTO) ที่มีความเป็นอิสระ และจะยื่นเรื่องให้ WTO พิจารณาเนื่องจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯไม่เป็นธรรมการดำเนินการของสหรัฐฯเป็นการละเมิดกฎกติกาและระเบียบปฏิบัติต่างๆ ของ WTO
นางแลม เน้นย้ำว่ากฎหมายดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติและเพื่อความปลอดภัยของคนที่อยู่ในฮ่องกง มีรายงานว่า นางแลม กำลังประสบปัญหาการใช้บัตรเครดิต เนื่องจากถูกสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตร แม้ว่าจะถูกสหรัฐฯคว่ำบาตร แต่ฮ่องกงก็จะยังคงเดินหน้านำเสนอจุดแข็งต่างๆ ให้บริษัทของสหรัฐฯที่สนใจจัดตั้งธุรกิจในฮ่องกง โดยเฉพาะความได้เปรียบจากเขตกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า ในด้านบริการทางการเงิน
สหรัฐฯ ดำเนินคดีกับอดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ขายข้อมูลลับให้จีน
กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ดำเนินคดีอาญากับนายอเล็กซานเดอร์ หม่า ยัก-ชิง ชาวอเมริกันเชื้อสายฮ่องกง อายุ 67 ปี ด้วยข้อหาเปิดเผยข้อมูลลับทางราชการให้กับรัฐบาลจีน การจับกุมนายหม่าเกิดขึ้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่สำนักข่าวกรองกลาง ( ซีไอเอ ) ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของรัฐบาลจีน ตีสนิทกับนายหม่าเมื่อช่วงปีที่แล้ว จนสามารถล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมด นายหม่า เคยทำงานให้กับซีไอเอ ระหว่างปี 2525 ถึง 2532 และได้รับเอกสิทธิ์เข้าถึงชั้นความลับระดับสูง และยังเคยทำงานให้กับสำนักงานสอบสวนกลาง ( เอฟบีไอ ) ด้วย เมื่อยุติการร่วมงานกับซีไอเอและเอฟบีไอ
สำหรับภารกิจของนายหม่าที่เป็นสายลับให้กับจีน แกะรอยย้อนหลังไปได้จนถึงปี 2544 และที่จริงแล้วเจ้าหน้าที่จับกุมนายหม่าได้พร้อมกับญาติอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอเช่นกัน ตอนนี้อายุ 85 ปี แต่ล้มป่วยด้วยอาการผิดปกติทางสมองมานานระยะหนึ่งแล้ว พนักงานสอบสวนจึงตัดสินใจไม่ส่งฟ้องในคดีนี้ ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม แต่ก่อนหน้าล้มป่วย บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ต้องหาในอีกคดีหนึ่งด้านความมั่นคง
ด้านรัฐบาลจีน ยังไม่แสดงท่าทีอย่างเป็นทางการต่อการดำเนินคดีกับนายหม่า ส่วนซีไอเอและเอฟบีไอปฏิเสธให้ความเห็นอย่างเป็นทางการเช่นกันว่าเพราะเหตุใดจึงรอนานถึง 1 ปีแล้วถึงจับกุมนายหม่า
WHO เรียกร้องทั่วโลกร่วมต้าน "วัคซีนชาตินิยม"
นพ.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก(WHO) กล่าวว่า โลกจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดวัคซีนชาตินิยม เพื่อเป็นการรับประกันว่าการจัดสรรและการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 จะเป็นไปอย่างยุติธรรมและทั่วถึง เมื่อการพัฒนาวัคซีนสำเร็จ กลุ่มที่ปรึกษาเชิงยุทธศาสตร์ของ WHO จะให้คำแนะนำเพื่อให้การใช้วัคซีนมีความเหมาะสมและเป็นธรรม ไม่มีทางที่ประเทศใดจะปลอดจากโรคโควิด-19 จนกว่าคนทั่วโลกจะได้รับวัคซีน
การจัดสรรวัคซีนได้รับการเสนอให้ทำเป็นสองเฟส
-เฟส 1 จะเป็นการจัดสรรวัคซีนตามสัดส่วนให้ทุกประเทศที่เข้าร่วมในแผนการพัฒนาวัคซีนของ WHO และจัดสรรให้ทุกประเทศพร้อมๆ กันเพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม
-เฟส 2 จะพิจารณาจัดสรรวัคซีนให้ประเทศที่มีความเสี่ยงและเปราะบาง
ห่วงกลุ่มเสี่ยง 20-40 ปี แพร่เชื้อให้กลุ่มอ่อนแอมากขึ้น
WHO เตือนว่า ประชาชนในวัย 20-40 ปี เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากกำลังเร่งให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเอเชีย เนื่องจาก คนส่วนใหญ่ในวัยดังกล่าวที่ติดเชื้อโควิด-19 มักแสดงอาการป่วยเล็กน้อยหรือไม่แสดงอาการและอาจแพร่เชื้อไปคนอื่นโดยไม่รู้ตัว นายทาเคชิ คาไซ ผู้อำนวยการ WHO ประจำภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกในกรุงมะนิลา กล่าวว่า กรณีนี้เพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังกลุ่มบุคคลที่อ่อนแอที่สุดได้แก่ คนแก่ คนป่วยเรื้อรัง คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แออัดในเมือง และในพื้นที่ชนบทบางแห่ง รัฐบาลจะต้องเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าเพื่อปกป้องชุมชนที่อ่อนแอ
ศูนย์กักกันโรคโควิด-19 ในฟิลิปปินส์ เสียหายจากแผ่นดินไหวขนาด 6.6
ความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวระดับ 6.6 ที่เขตบีโคล(Bicol) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะมัสบาเตซิตี้(MasbateIsland) ของฟิลิปปินส์ ช่วงเช้าวานนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ถนนและอาคารเสียหายรวมทั้งศูนย์กักกันโรคโควิด-19 ตำรวจฟิลิปปินส์ ยืนยัน ตัวเลขผู้เสียชีวิต 1 รายจากเหตุแผ่นดินไหวว่าเป็นอดีตตำรวจปลดเกษียณ เจ้าหน้าที่ยังคงค้นหาคนที่คาดว่าจะติดอยู่ภายใต้บ้านเรือนและการกู้ภัยยังดำเนินต่อไป
แผ่นดินไหวเกิดขึ้นก่อนที่ฟิลิปปินส์จะผ่อนคลายการล็อกดาวน์ประชาชนรวมถึงที่กรุงมะนิลา และเกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้ว 14 ครั้ง ขนาดรุนแรงที่สุดวัดได้ 3.5
รอยเตอร์ รายงานว่า โรงพยาบาลและศูนย์กีฬาประจำเมืองที่ถูกใช้เป็นที่สถานที่กักกันโรคโควิด-19ในพื้นที่ได้รับความเสียหายหลังจากเกิดแผ่นดินไหว มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกมาด้านนอกที่เต้นท์หลังจากอาคารโรงพยาบาลมีรอยร้าวเกิดขึ้น และวิศวกรอยู่ระหว่างการตรวจสอบศูนย์กีฬาดูว่ามีความปลอดภัยเพียงพอที่จะดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ในระหว่างการกักโรคได้หรือไม่
นายกฯ นิวซีแลนด์ โต้กลับ ‘ทรัมป์’ หลังจากวิจารณ์ผู้ติดเชื้อในนิวซีแลนด์
นิวซีแลนด์โต้กลับสหรัฐฯทันที หลังจากที่เมื่อวันจันทร์ ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ หาเสียงที่รัฐมินนิโซตาว่า ผู้วิจารณ์เขาพลาดไปแล้วที่มักยกนิวซีแลนด์ว่าเป็นตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคโควิด-19 การระบาด เห็นหรือไม่ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในนิวซีแลนด์ จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นมากในนิวซีแลนด์เป็นเรื่องเลวร้ายมาก และสหรัฐฯไม่ต้องการเป็นแบบนั้น ทำให้นายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์น ของนิวซีแลนด์ตำหนิประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐฯว่าเป็นการกล่าวอ้างที่ผิดอย่างชัดเจน นายกรัฐมนตรีอาร์เดิร์น กล่าวว่า ผู้ติดตามสถานการณ์จะเข้าใจได้ไม่ยากว่า การที่นิวซีแลนด์มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 วันละ 9 คน เทียบไม่ได้เลยกับสหรัฐที่มีผู้ป่วยใหม่วันละหลายพันคน เห็นได้ชัดว่าคำกล่าวอ้างของประธานาธิบดีทรัมป์ ผิดอย่างชัดเจน
นางอาร์เดิร์น หมายถึงว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้นำต่างวัยปะทะกัน นายทรัมป์ วัย 74 ปี เคยหยอกขณะพบกับนางอาร์เดิร์น วัย 40 ปี ในการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกหรือเอเปกที่เวียดนาม เมื่อเดือนพ.ย.2560 หลังจากนางอาร์เดิร์น ชนะเลือกตั้งขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนก่อนหน้านั้นว่า ชัยชนะของเธอทำให้คนจำนวนมากในนิวซีแลนด์ผิดหวัง นางอาร์เดิร์น ย้อนว่า แต่ก็ไม่มีคนเดินขบวนที่เธอชนะ พาดพิงไปถึงการเดินขบวนทั่วสหรัฐฯเมื่อนายทรัมป์ชนะเลือกตั้งเมื่อปี 2559