นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การติดเชื้อโรคโควิด-19 สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และปัญหาภัยแล้ง ทำให้การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวติดลบ ทำให้การขยายตัวทั้งปีติดลบร้อยละ 7.5 ภายใต้สมมุติฐานไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบสอง และต้องรักษาบรรยากาศทางการเมือง ไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำเติมเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก ขณะนี้มีตัวช่วยเศรษฐกิจเพียงตัวเดียว คือ การบริโภคและการลงทุนของภาครัฐเท่านั้น ดังนั้น ช่วงที่เหลือของปี ต้องเร่งรัดมาตรการที่ออกไปแล้วที่ใช้เงินกู้จากวงเงิน 1 ล้านล้านบาท ไม่ให้ล่าช้า ต้องดูแลบางภาคอุตสาหกรรมไม่ให้มีปัญหาหนี้เสีย หรือ เอ็นพีแอล ลุกลามไปกระทบสถาบันการเงิน
นอกจากนี้ ต้องดูแลสาขาเศรษฐกิจที่มีปัญหาการฟื้นตัว คือ ภาคการท่องเที่ยวและบริการต่อเนื่อง ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ต้องมีการดูแลพิเศษ สศช. จะหารือกับกระทรวงการคลัง และรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงการคลัง เพื่อสรุปมาตรการเสนอให้ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ประชุมนัดแรกในวันที่ 19 ส.ค. นี้
ส่วนเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปี 2563 ขยายตัวติดลบร้อยละ 12.2 เมื่อเทียบจากไตรมาส 1 ที่ขยายตัวติดลบร้อยละ 2.2 เนื่องจาก ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2 หยุดทั้งหมด ทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 น่าจะขยายตัวต่ำที่สุดของปี