การประชุมเทเลคอนเฟอเรนซ์ของรัฐบาลจาก 15 ประเทศและสหภาพยุโรป ( อียู ) เพื่อระดมทุนช่วยเหลือเลบานอนในการฟื้นฟูกรุงเบรุต ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุระเบิดอย่างรุนแรงที่ท่าเรือหลัก เมื่อวันที่ 4 ส.ค. มีผู้เสียชีวิตประมาณ 160 ราย บาดเจ็บมากกว่า 6,000 คน สามารถรวบรวมเงินในเบื้องต้นได้อย่างน้อย 253 ล้านยูโร หรือราว 9,303.97 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากอียู และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการหาทางเยียวยาเลบานอน
ขณะที่มีการวิเคราะห์ว่า การฟื้นฟูกรุงเบรุตครั้งนี้อาจต้องใช้งบประมาณที่คิดเป็นสัดส่วนมากถึง ร้อยละ 25 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) ของเลบานอน
ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส กล่าวว่า นอกจากความช่วยเหลือทั้งในรูปแบบของเงิน และสิ่งของซึ่งนานาประเทศร่วมกันมอบให้เลบานอนแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญ คือ เลบานอนต้องปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ การเน้นย้ำประเด็นดังกล่าวของอดีตเจ้าอาณานิคมมีแนวโน้มยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับกลุ่มขั้วอำนาจเก่าทางการเมืองในเลบานอนที่เผชิญกับการชุมนุมต่อต้านจากประชาชนในประเทศ
ทั้งนี้ การประท้วงขับไล่รัฐบาลรอบใหม่เกิดขึ้นเมื่อผู้ประท้วงสามารถบุกเข้าไปภายในสถานที่ราชการหลายแห่งเมื่อวันเสาร์และทำลายทรัพย์สินภายในอาคารจนเสียหาย ขณะที่ รัฐมนตรีอย่างน้อย 2 คนในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฮัสซัน ดิอับ ประกาศลาออกเพราะรับไม่ได้อีกต่อไปกับนโยบายของรัฐบาลตัวเอง คือนางมาดาล อับเดล ซาหมัด ลาออกจากตำแหน่งรมว.กระทรวงข่าวสาร และนายดาเมียนอส คัตตาร์ ลาออกจากตำแหน่งรมว.กระทรวงสิ่งแวดล้อม แม้นายดิอับ ยืนยันจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ แต่ยังตอบไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด
ความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุของการระเบิด ทุกฝ่ายยังคงพุ่งเป้าไปที่แอมโมเนียมไนเตรต 2,750 ตัน ที่เก็บอยู่ภายในโกดังหมายเลข 12 ของท่าเรือมานานถึง 6 ปีแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจ