ทอท.สั่งกักตัวพนักงาน ที่ MJETS ดอนเมือง 14วัน หลังใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง
1001
https://www.js100.com/en/site/news/view/90696
COPY
07 สิงหาคม 2563, 20:18น.
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. ต้องให้พนักงานของทอท.ที่ปฎิบัติหน้าที่บริเวณจุดตรวจค้น และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่แพทย์ที่ประจำอาคารผู้โดยสารอากาศยานส่วนบุคคล ของ MJETS เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2563 ทำการกักตัวอยู่บ้านเป็นเวลา 14 วัน นับตั้งแต่วันที่ 2 -15 ส.ค. 2563 เพื่อสังเกตอาการและเพื่อป้องกันความเสี่ยงกรณีมีเที่ยวบินที่มีลูกเรือและแพทย์มารับผู้ป่วยจากประเทศไทย แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกันตัวในขณะตรวจค้น ที่เป็นไปตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2563 มีการประสานงานมายังทอท.ที่สนามบินดอนเมืองว่าจะมีผู้ป่วย ลูกเรือและแพทย์เดินทางออกจากประเทศไทย ด้วยเที่ยวบิน AYY118 เวลาออก 18.00 น. ปลายทางเมืองนาคปุระ ประเทศอินเดีย โดยผู้ป่วยจะเคลื่อนย้ายผ่านทางช่องทางอากาศยานลานจอด 3 ตรงไปยังเครื่องบิน ส่วนลูกเรือและแพทย์ จะผ่านทางจุดตรวจค้นอาคาร MJETS ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจค้นจะต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล Level C โดยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเป็นผู้ใส่อุปกรณ์ป้องกันให้
โดยทอท.ได้จัดเจ้าหน้าที่ตรวจค้น เจ้าหน้าที่แพทย์ไปตามที่ประสานแต่ปรากฏว่าผู้โดยสาร ลูกเรือและแพทย์ได้ผ่านจุดตรวจค้นไปโดยที่เจ้าหน้าที่ของทอท.ไม่ทราบ จึงไม่ได้ดำเนินการใส่ชุดอุปกรณ์ป้องกันตามที่กำหนดกันไว้ ซึ่งเป็นปัญหาจากการประสานงานระหว่าง ทอท.เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ MJETS โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ MJETS ไม่ได้แจ้งว่าผู้โดยสารที่ตรวจค้นเป็นผู้ป่วยที่มีการแจ้งไว้ก่อนหน้านั้นส่งผลให้ ทอท.ต้องสั่งให้พนักงานที่ปฎิบัติหน้าที่บริเวณนั้นทั้งหมดกลับบ้านเพื่อกักตัวทันที และได้ให้ทาง MJETS ทำความสะอาดพื้นที่อาคาร MJETS
เรืออากาศโท สัมพันธ์ ขุทรานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมือง ทอท. ยืนยันมีเรื่องดังกล่าวจริงและมีการกักตัวพนักงานจริง แต่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในการตรวจค้นผู้โดยสารผ่านทางอาคาร MJETS ซึ่งสนามบินดอนเมืองมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน(Emergency Operation Center : EOC) ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในท่าอากาศยาน เช่น ตม. ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ศุลกากร และกระทรวงสาธารสุขเพื่อรับผู้โดยสารที่เดินทางมาจากต่างประเทศ รายงานข่าวจากทอท.ระบุว่า เพราะไทยยังไม่มีการเปิดการบินระหว่างประเทศเชิงพาณิชย์ และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ยังมีการประกาศ เงื่อนไขในการอนุญาตให้อากาศยานทำการบินเข้าออกประเทศไทย เพื่อควบคุมทั้งเครื่องบินและบุคคลที่จะเดินทางเข้าประเทศและต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ทั้งใบรับรองทางการแพทย์ การตรวจคัดกรองโรคและกักตัว14 วัน
การเดินทางด้วยเครื่องบิน Private Jet ผ่านทางอาคารผู้โดยสารอากาศยานส่วนบุคคล MJETS สนามบินดอนเมือง จึงเป็นที่นิยม เพราะเป็นช่องทางที่มีการผ่านเข้าออกได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทำให้นักธุรกิจจากหลายประเทศที่จำเป็นต้องการเข้ามาติดต่อธุรกิจหรือเจรจาการค้ารวมถึงผู้ป่วยที่เป็นเศรษฐีจากต่างประเทศที่ต้องการเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลของไทย ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนและช่องโหว่ที่มีโอกาสที่คนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะหลุดรอดเข้ามาได้และเป็นความเสี่ยง ที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดการระบาดรอบ 2 ได้ทุกเมื่อ
ด้านนายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) กล่าวว่า สำหรับ Private Jet จากต่างประเทศนั้นจะต้องมีใบรับรองจากกระทรวงต่างประเทศ และเอกสารการควบคุมโรคตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างครบถ้วนก่อน กพท.จึงจะอนุญาตให้เข้าประเทศไทยได้ กรณีผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้าไทยต้องมีการตรวจสุขภาพ คัดกรองโรคตั้งแต่ต้นทางก่อน เมื่อลงเครื่องจะมีขั้นตอนตรวจเชื้ออีก ระหว่างที่พักในไทยจะต้องมีโปรแกรมการเดินทาง ที่พักชัดเจน กรณีมาพักในไทยเกิน 4 วัน ก่อนเดินทางออกจากไทย จะต้องมีการตรวจคัดกรองเชื้ออีกครั้ง มีการตรวจคัดกรองเชื้อถึง 3 รอบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจสูงสุดซึ่งมั่นใจในแง่ของมาตรการควบคุมต่าง ๆ ส่วนในทางปฎิบัติเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง
ข่าวทั้งหมด