พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.มีคำสั่ง ตร.ที่ 387/2563 ลงวันที่ 29 ก.ค.2563 สำรองราชการ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. (อัตราเลขที่ สรส.1)ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 61 (2) แห่ง พรบ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547
คำสั่งดังกล่าวมีขึ้น หลังจากมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน พล.ต.อ.วิระชัย ซึ่งถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยมีพฤติการณ์และการกระทำเข้าลักษณะมีเจตนาเปิดเผยความลับของทางราชการ และฝ่าฝืนระเบียบคำสั่งว่าด้วยการให้ข่าวสัมภาษณ์ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของ ตร.อย่างร้ายแรง ประกอบกับ กองบังคับการปราบปราม ได้รับคำร้องทุกข์ในกรณีกล่าวโทษว่ามีการกระทำอันเป็นการทำผิดต่อรัฐ มีมูลเข้าข่ายตามความผิด พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 74 และตามประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฉบับที่ 21 เรื่อง การห้ามดักฟังทางโทรศัพท์และเครื่องมือสื่อสารอื่นใด
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเพิ่งลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 219/ 2563 เรื่องให้ พล.ต.อ.วิระชัย กลับไปปฏิบัติราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)
สาเหตุที่ทำให้ พล.ต.อ.วิระชัย ถูกย้ายพ้น ตร. จนกระทั่งล่าสุดถูกสำรองราชการนั้นเกิดจากเมื่อช่วงเช้าวันที่ 9 ม.ค. โลกโซเชียลมีการแชร์คลิปลับบทสนทนาคล้ายเสียงพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร.ความยาวประมาณ 3 นาที บทสนทนาเป็นในลักษณะของการเตือนให้ดำเนินการในคดียิงรถยนต์ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ถูกคนร้ายยิงรถเก๋งส่วนตัวที่จอดอยู่ตรงข้ามร้านสาริกา มาสสาจ ซอยสาริกา ถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กทม. เมื่อช่วงค่ำวันที่ 6 ม.ค. ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมของผู้ที่นำคลิปการสนทนามาเผยแพร่