ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 07.30 น.วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2563

28 กรกฎาคม 2563, 07:54น.


เตือนอย่าทำเด็ดขาด! สถานทูตไทย ขอให้แรงงานไทยในอุซเบกิสถาน เลิกวางแผนเผาแคมป์



          เฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย โพสต์ข้อความระบุว่า สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ทราบมาว่า มีคนไทยบางคนกำลังวางแผนประท้วง หรือระบายอารมณ์ โดยจะเผาแคมป์คนงาน เพื่อกดดันให้ได้กลับประเทศไทยเร็วขึ้น สถานเอกอัครราชทูตฯ เตือนครั้งสุดท้ายด้วยความห่วงใยขอให้อดทนและเรียนรู้ที่จะรอเพื่อจะได้กลับบ้าน แต่ต้องทำตามระเบียบที่ต่างประเทศกำหนดไว้ อย่าทำตามใจตนเอง เพราะอาจถูกจับดำเนินคดีและจำคุกในประเทศอุซเบกิสถานกว่าจะได้เดินทางกลับไทยอาจเป็นเวลา 10 ปี หรือ 15 ปี ในฐานะวางเพลิง เพราะไม่ได้เพียงแต่ทำลายบ้านเมืองคนอื่น ไม่ได้ทำลายโควิด-19 แต่กำลังจะทำลายตัวเอง และที่สำคัญที่สุดกำลังทำลายประเทศไทย



          สนามบินนานาชาติของอุซเบกิสถาน ยังคงปิดทำการอยู่ ในขณะนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่เรื่องการเดินทางกลับประเทศอย่างปลอดภัยที่สุด และประหยัดที่สุด



CR:เฟซบุ๊ก สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย



กต.ยืนยันเร่งช่วยเหลือ 27 แรงงานไทยติดโควิด-19 ในอุซเบกิสถาน

          นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า มีคนไทยบางคนในกลุ่มแรงงานในอุซเบกิสถานกำลังวางแผนประท้วงเพื่อหวังกดดันให้ได้กลับประเทศไทยเร็วขึ้น กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูตฯ ​เพิ่มเติมว่า มีรายงานว่าแรงงานไทยในอุซเบกิสถานตรวจพบเชื้อโควิด-19 จำนวน 27 คน ทำให้กลุ่มแรงานไทยเกิดความกังวล แรงงานที่ติดเชื้อได้ถูกแยกไปกักตัวในสถานที่แยกต่างหากจากแรงงานคนไทยอื่นๆ และมีการดูแลรักษาตามมาตรการสาธารณสุขของอุซเบกิสถานแล้ว จึงขอให้แรงงานไทยมีความอดทนและปฏิบัติตามระเบียบที่ได้กำหนดไว้



          กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก กงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำอุซเบกิสถาน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยกำลังดำเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยคำนึงถึงทางเลือกที่สามารถทำได้ในขณะที่สนามบินนานาชาติของอุซเบกิสถาน ยังปิดทำการอยู่



แฟ้มภาพ 




คาดบ่ายนี้ ! ประชุมตรวจสอบคดี “บอส อยู่วิทยา”



          นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงกรณีอัยการสูงสุด มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ว่า ขณะนี้นายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุด ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานได้ประสานให้ตนซึ่งเป็นคณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ เร่งประสานคณะทำงานทุกคนเพื่อประชุมโดยเร็ว  หากเป็นไปได้ อาจประชุมได้เร็วที่สุดคือบ่ายวันนี้ ส่วนแนวทางการพิจารณา ประธานคณะทำงานจะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งคณะทำงานจะต้องศึกษาสำนวนก่อนว่าสั่งคดีอย่างไร โดยยังไม่สามารถระบุแนวทางการพิจารณาได้ เนื่องจาก อาจเป็นการก้าวล่วง ขอให้มั่นใจได้ว่า คณะทำงานจะเร่งประชุมพิจารณา เพราะอัยการต้องการให้ความจริงปรากฏเร็วที่สุด  เมื่อสอบถามว่า  ผลการตรวจสอบของคณะทำงานจะมีผลเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมได้หรือไม่ นายประยุทธ ปฏิเสธออกความเห็น



คณะทำงาน ประกอบด้วย



-นายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าคณะทำงาน



-นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา



-นายชาติพงศ์ จีระพันธุ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร



-นายปรเมศว์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี



-นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา



-นายอิทธิพร แก้วทิพย์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา



-นายประยุทธ เพชรคุณ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3



คณะทำงานมีอำนาจหน้าที่ เรียกสำนวนมาตรวจสอบรวมถึงสอบถามบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ โดยให้ดำเนินการด่วนที่สุด





สอบปากคำ! ชายต้องสงสัย ฆ่ารัดคอชิงสร้อยหนัก 5 บาท วางเพลิงเผา เจ้าของร้านย่านราชพฤกษ์



          หลังจากที่ครอบครัวของนายอนันต์ แสงอุไร อายุ 66 ปี เจ้าของร้านข้าวหมูแดงหมูกรอบแมสเซ็นเจอร์ ริมถนนราชพฤกษ์ ตั้งข้อสงสัยการเสียชีวิตของนายอนันต์ว่าไม่น่าจะเกิดเหตุจากเหตุไฟไหม้ร้านเนื่องจากพบพิรุธหลายอย่างสร้อยคอทองคำ 5 บาทหายไป ร่องรอยที่ลำคอผู้เสียชีวิต เป็นต้น พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบก.สส.บช.น. และพ.ต.อ.นครินทร์ สุคนธวิท รอง ผบก.น.9 นำกำลังฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.9 และสน.บางขุนเทียน ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย อายุ 58 ปี ฆ่ารัดคอชิงสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท และวางเพลิงเผาร่างนายอนันต์ จากบ้านพักย่านบางขุนเทียนมาสอบปากคำที่ สน.บางขุนเทียน



          แนวทางการสืบสวนของชุดคลี่คลายคดีพบหลักฐานสำคัญ ผู้ต้องสงสัยไปมาหาสู่กับผู้เสียชีวิต มีการนั่งดื่มเบียร์ ดื่มเหล้า และชอบนำทรัพย์สินมีค่าไปขายหรือจำนำเอาไว้กับผู้เสียชีวิต ก่อนเกิดเหตุขับรถจักรยานยนต์แบบผู้หญิง ไม่ทราบยี่ห้อรุ่นและหมายเลขทะเบียน ใส่หมวกนิรภัยสีขาวขับไปซื้อน้ำมันบรรจุใส่แกลลอนจากปั๊มแห่งหนึ่งย่านถนนกาญจนาภิเษก แล้วมุ่งหน้าไปหาผู้เสียชีวิตที่บ้านพักหลังปิดร้านในช่วงเวลาประมาณ 16.00 น.เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ก่อนจะมีการแจ้งพบกลุ่มควันและแสงเพลิงขึ้นภายในบ้านพักหลังร้านข้าวหมูแดงเมื่อเวลา 16.45 น. หลังเกิดเหตุหลบหนีออกจากพื้นที่ไป 4-5 วัน และย้อนกลับมาที่บ้านพักซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านหลังที่เกิดเหตุ



          จากการสอบปากคำ ผู้ต้องสงสัยยังให้การปฎิเสธ แต่ขัดแย้งกับผลตรวจสอบตามร่างกายในเบื้องต้น พบร่องรอยบาดแผลคล้ายรอยข่วนตามร่างกายหลายแห่ง ชุดคลี่คลายคดีอยู่ระหว่างประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและแพทย์ร่วมทำการตรวจยืนยันหากผลออกมาตรงกันกับดีเอ็นเอของผู้เสียชีวิตจะแจ้งข้อหาและออกหมายจับ




 

ข่าวทั้งหมด

X