สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันและอนาคต นาย ทาเคฮิโกะ นาคาโอะ ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียหรือเอดีบี มองว่า ไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของภูมิภาคอาเซียน และสามารถเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้ โดยเห็นว่าไทยมีทรัพยากรที่สมบูรณ์และมีรายได้ต่อหัวที่มากขึ้น แสดงถึงความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีประธานเอดีบี คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะโตไม่ถึงร้อยละ 1 จากที่คาดไว้ร้อยละ 1.5 โดยให้เหตุผลว่ามาจากภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจและความไม่มั่นคงทั่วโลก ผนวกกับไตรมาสที่3ของไทย ฟื้นตัวช้า ส่วนปีหน้าคาดว่าจะโตได้ร้อยละ 4 จากเดิมคาดไว้ 4.5 เชื่อว่าในปีต่อไป เศรษฐกิจไทยจะโตได้มากกว่านี้ หากมีการเบิกจ่ายจากภาครัฐ การลงทุนทางโครงสร้างพื้นฐาน และการร่วมลงทุนระหว่างประเทศ ส่วนการส่งออกคาดว่าปีหน้าจะโตที่ร้อยละ3
ด้านความท้าทายในอนาคต ประธานเอดีบีมองว่า ไทยต้องเร่งแก้ปัญหาสังคมผู้สูงวัย โดยขณะนี้ไทยมีสภาพสังคมผู้สูงอายุมากเป็นอับดับ 2 ของอาเซียน ทำให้ขาดแคลนแรงงาน และต้องเร่งแก้ไขการศึกษาที่ตกต่ำ โดยการพัฒนาการวิจัย ส่วนอีกปัญหาที่ต้องแก้ไขคือ ความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลต้องมีระบบสวัสดิการและการจัดการพื้นฐานสังคมให้เจริญทั่วประเทศ
ส่วนวิกฤตเศรษฐกิจของรัสเซียจะไม่ส่งผลกระทบกับไทยและกลุ่มประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง หรือ จีเอ็มเอสแน่นอน เพราะรัสเซียมีเศรษฐกิจอิงกับภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นหลัก ขณะที่การจัดตั้ง ธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย หรือ เอไอไอบีของประเทศจีน เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับเอดีบี และเอดีบีพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านต่างๆจากการลงทุนด้วย
สำหรับ เข้าพบ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นาย สมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนาย ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อยืนยันว่าเอดีบี จะให้การสนับสนุนต่อไทยและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงต่อไป ทั้งการสนับสนุนทางวิชาการและเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ พร้อมระบุว่า ไทยจะต้องให้การช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านไปพร้อมกันด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยได้แสดงความต้องการให้เอดีบีเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุน โดยเฉพาะด้านคมนาคม โดยจะมีการหารือในเรื่องดังกล่าวจากแผนปฎิบัติการกรอบการลงทุนภูมิภาคอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ที่โรงแรมแชงกรีลา