หลังเกิดเหตุสถานทูตเอสโตเนียอ้างเอกสิทธิ์ทางการทูตส่งบุคคลจากสถานทูต 1 คนขอเข้าพักที่คอนโดฯย่านสุขุมวิท เพื่อกักตัว 14 วันพร้อมหลักฐานการตรวจหาโรคโควิด-19 ทั้งจากสถานทูตต้นทาง และสนามบินสุวรรณภูมิ
นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงที่ทำเนียบรัฐบาลเพิ่มเติมว่า นักการทูตคนนี้ เดิมประจำอยู่ที่ประเทศไทย ก่อนหน้านี้ ลากลับไปยังทวีปยุโรป จากนั้นเดินทางกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในไทย โดยออกเดินทางจากนครแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2563 เวลา 22.00 น. และได้ผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนออกเดินทาง ซึ่งผลออกมาเป็นลบ
เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 16 ก.ค. เวลา 14.00 น.ได้มีเจ้าหน้าที่จากต้นสังกัดของนักการทูตคนนี้มารับตัว และนักการทูตรายนี้ ได้ดำเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุขของไทย และเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 (RT-PCR) และรออยู่ที่สนามบินจนผลตรวจออกมาปรากฏเป็นลบ ซึ่งถือว่า ผ่านการตรวจหาเชื้อรวมแล้ว 2 ครั้ง และแสดงให้เห็นว่านักการทูตคนนี้ไม่มีเชื้อโควิด-19
ส่วนที่มีการไปพูดกันว่านักการทูตเป็นวีไอพีหรือมีเอกสิทธิ์คุ้มกันนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า นักการทูตไม่ใช่วีไอพี และเอกสิทธิ์ทางการทูตเป็นการคุ้มครองตามอนุสัญญาเวียนนา ซึ่งเป็นการคุ้มครองเพียง เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตัวแทนทางการทูตหรือตัวแทนของรัฐได้ โดยมีประสิทธิภาพ แต่ภายใต้อนุสัญญาเวียนนา กำหนดว่านักการทูตผู้นั้นจะต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือกฎหมายของประเทศผู้รับด้วย ซึ่งหมายความว่า เขาต้องปฏิบัติการมาตรการของ ศบค.
ดังนั้น การจะสร้างความมั่นใจในเรื่องนี้ บ่ายวันนี้ คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มีพล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธาน จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาทบทวนมาตรการต่างๆให้เข้มงวดมากขึ้น
ขณะเดียวกัน กระทรวงฯได้เชิญตัวแทนคณะทูตต่างประเทศทั้งหมดในไทย มาที่กระทรวงฯ ในช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อให้รับฟังการบรรยายสรุปพร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน เชื่อว่า หลังจากการประชุมของคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ ในช่วงบ่ายของวันนี้ จะมีมาตรการที่เข้มงวดอย่างชัดเจน