สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ออกประกาศแนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางการบินระหว่างประเทศ โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องแจ้งผู้โดยสารทราบถึงมาตรการทางสาธารณสุขของทางการไทย ทั้งมาตรการก่อนเดินทางเข้ามา-เมื่อเดินทางถึง-ระหว่างอยู่ในราชอาณาจักรและมาตรการก่อนเดินทางออกจากราชอาณาจักร
โดยในประกาศระบุว่า
"ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางการบินระหว่างประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
เพื่อให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศและผู้ดำเนินการสนามบินมีแนวทางในการปฏิบัติสำหรับการให้บริการการบินในเส้นทางระหว่างประเทศที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization; ICAO) และสอดคล้องกับกฎระเบียบของไทยที่มีผลใช้บังคับอยู่ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงออกประกาศกำหนดแนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางการบินระหว่างประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังต่อไปนี้
1.ให้ยกเลิกประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง มาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับผู้ดำเนินการเดินอากาศ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในอากาศยานและผู้ดำเนินการสนามบิน ประกาศ ณ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2563 และให้ใช้ประกาศฉบับนี้แทน
2.แนวปฏิบัติตามประกาศนี้ให้ใช้บังคับแก่การปฏิบัติการบินในเส้นทางการบินระหว่างประเทศ (International Flights) และสนามบินที่ให้บริการแก่การบินระหว่างประเทศ
3.ประเภทของอากาศยานขนส่งบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ทำการบินเข้าออกราชอาณาจักรไทยให้เป็นไปตามประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยเงื่อนไขในการอนุญาตให้อากาศยานทำการบินเข้าออกประเทศไทย
4.ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศยึดถือแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขตามมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 แนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ที่ 7/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 6) สั่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 และมาตรการ แนวทาง หรือแนวปฏิบัติอย่างอื่นที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) หรือรัฐบาลกำหนด
5.ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศดำเนินมาตรการ ดังนี้
(1) แจ้งให้ผู้โดยสารทราบถึงมาตรการทางสาธารณสุขของทางการไทยในการควบคุมและป้องกันโรค ทั้งมาตรการก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร มาตรการเมื่อเดินทางถึง/ระหว่างอยู่ในราชอาณาจักร และมาตรการก่อนเดินทางออกจากราชอาณาจักร เช่น การกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดไว้ให้ (State Quarantine) เป็นเวลา 14 วัน เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว การลงแอปพลิเคชั่นติดตามอาการและการเดินทาง เข้าสถานที่ต่าง ๆ การตรวจหาเชื้อโควิด – 19 โดยวิธี RT-PCR เป็นต้น
(2) ในกรณีที่ปรากฏว่าท่าอากาศยานต้นทางไม่มีการตรวจคัดกรองผู้โดยสารและบุคคลที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยาน ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศทำการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้โดยสาร โดยใช้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายของผู้ถูกตรวจวัด (Non-contact infrared thermometer) ก่อนออกบัตรโดยสาร (Boarding Pass) และสังเกตอาการโดยทั่วไป หากวัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส หรือมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ทันที หากการวินิจฉัยเห็นว่ามีความเสี่ยง ให้ระงับการออกบัตรโดยสาร (Boarding Pass) แก่ผู้โดยสารนั้น
(3) ก่อนออกบัตรโดยสาร ให้ตรวจสอบเอกสารสำคัญของผู้โดยสารตามมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 แนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ที่ 7/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 6) สั่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 และมาตรการอื่นที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งระบุเงื่อนไขของเอกสารจำเป็นสำหรับบุคคลประเภทต่าง ๆ ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ให้ระงับการออกบัตรโดยสารแก่ผู้โดยสารนั้น
(4) ในกรณีที่ให้บริการเช่าเหมาลำ (Charter Flight) ให้กำหนดให้ผู้เช่า (Charterer) วางมาตรการคัดกรองผู้โดยสารที่จะนำขึ้นเครื่อง โดยการบริการระหว่างประเทศที่มีสถานการณ์การระบาดของโรคสูง ให้กำหนดให้ผู้โดยสารแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 โดยวิธี RT-PCR ให้ตรวจสอบก่อนออกบัตรโดยสาร
(5) ในระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบเพื่อออกบัตรโดยสาร ถ้าพบว่าผู้โดยสารไม่มีหน้ากากปิดจมูกและปาก (Mask) หรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้าบริเวณจมูกและปาก (Face Covering) และไม่สามารถจัดหามาแสดงได้ก่อนการเดินทาง ให้ระงับการออกบัตรโดยสารแก่ผู้โดยสารนั้น
(6) กำหนดให้ผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากหรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้าบริเวณจมูกและปาก ตลอดเวลาที่อยู่ในอากาศยาน ยกเว้นในสถานการณ์จำเป็นหรือฉุกเฉิน
(7) กำหนดให้มีมาตรการและวิธีปฏิบัติเพื่อรักษาระยะห่างของผู้โดยสารตลอดระยะเวลาเดินทาง โดยรวมถึงการลำเลียงผู้โดยสารเพื่อขึ้นและลงจากอากาศยาน จำกัดการรวมกลุ่มในขณะจัดเก็บหรือหยิบสัมภาระในที่เก็บของเหนือศีรษะ การย้ายที่นั่งโดยไม่จำเป็น การเข้าแถวรอใช้ห้องน้ำในห้องโดยสาร รวมถึงมีวิธีการปฏิบัติเพื่อให้แน่ใจว่ามีการรักษาระยะห่างที่เหมาะสมสำหรับผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ
(8) จัดให้มีแอลกอฮอล์ความเข้มข้นไม่น้อยกว่า 70% ใช้สำหรับล้างมือไว้ให้บริการอย่างเพียงพอให้กับผู้โดยสารและพนักงานของผู้ดำเนินการเดินอากาศ
(9) กำหนดให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในอากาศยานใช้อุปกรณ์ช่วยป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment; PPE) ดังนี้
(ก) นักบินให้สวมหน้ากากหรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้าบริเวณจมูกและปาก
(ข) ลูกเรือให้สวมหน้ากากหรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้าบริเวณจมูกและปาก และถุงมือยาง (Disposable Medical Rubber Gloves) ตลอดระยะเวลาปฏิบัติการบิน โดยผู้ดำเนินการเดินอากาศอาจพิจารณาจัดหาอุปกรณ์อื่นที่สามารถป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติมได้ เช่น แว่นตา (Goggles) หรือชุดป้องกันเชื้อโรค (PPE) เป็นต้น
(10) งดการให้บริการหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือแผ่บพับโฆษณาต่าง ๆ สำหรับผู้โดยสาร ยกเว้น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยเท่านั้น รวมทั้งงดการจำหน่ายสินค้าที่ระลึกและสินค้าปลอดภาษีอากร
(11) ให้ลูกเรือติดต่อสื่อสารกับนักบินผ่านอุปกรณ์สื่อสารภายในอากาศยาน (Interphone) เป็นหลัก และได้รับอนุญาตให้เข้าและออกห้องนักบินเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่นักบินเฉพาะเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น
(12) เที่ยวบินที่ปฏิบัติการบินโดยใช้ระยะเวลาน้อยกว่า 120 นาที ให้งดการให้บริการอาหารและเครื่องดื่มในระหว่างการปฎิบัติการบิน รวมทั้งห้ามผู้โดยสารรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่นำติดตัวมา ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจำเป็นลูกเรือจะเป็นผู้พิจารณาตามสถานการณ์ หากเห็นสมควร ให้ลูกเรือสามารถบริการน้ำดื่มแก่ผู้โดยสารได้ ทั้งนี้ ให้กระทำในพื้นที่ที่ห่างจากผู้โดยสารคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
เที่ยวบินที่ปฏิบัติการบินโดยใช้ระยะเวลามากกว่า 120 นาที สามารถบริการอาหารและเครื่องดื่มได้ โดยพิจารณาบรรจุภัณฑ์แบบปิด (sealed, pre-packaged containers) สำหรับการให้บริการและการจัดเก็บหลังการให้บริการ โดยลดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างการให้บริการให้มากที่สุด แต่ยังคงต้องดูแลและปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยในห้องโดยสาร
(13) เที่ยวบินที่ปฏิบัติการบินโดยใช้ระยะเวลามากกว่า 240 นาที ให้มีการสำรองที่นั่ง 3 แถวหลังสุดด้านใดด้านหนึ่งของอากาศยานไว้สำหรับแยกกักผู้ป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยเพื่อเฝ้าสังเกตอาการและป้องกันการแพร่กระจายของโรค
ในกรณีที่พบผู้โดยสารหรือลูกเรือที่มีอาการป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ขณะอยู่ในอากาศยาน ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศดำเนินมาตรการ On-board Emergency Quarantine ดังนี้
(ก) ให้แยกกักผู้ที่มีอาการป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยให้นั่งที่ที่นั่งซึ่งสำรองไว้ ตามที่ระบุในวรรคแรกโดยให้ห่างไกลจากผู้โดยสารคนอื่นมากที่สุด
(ข) ในกรณีที่มีห้องน้ำมากกว่าหนึ่งห้อง ให้กันห้องน้ำที่อยู่ใกล้บริเวณที่สำรองไว้ตามวรรคแรก ไว้สำหรับเฉพาะผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยว่าจะป่วย
(ค) พิจารณากันห้องน้ำห้องหนึ่งไว้สำหรับลูกเรือได้ใช้โดยเฉพาะ โดยให้คำนึงถึงจำนวนห้องน้ำที่เพียงพอสำหรับผู้โดยสารได้ใช้ด้วย
(ง) ให้มอบหมายให้ลูกเรือคนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่แยกกัก และให้ลูกเรือที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับลูกเรือคนอื่นในระยะใกล้กว่า 2 เมตร
(จ) ให้นักบินผู้ควบคุมอากาศยานแจ้งข้อมูลการตรวจพบผู้โดยสารหรือลูกเรือที่มีอาการป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ เพื่อรายงานให้แก่ผู้ดำเนินการสนามบิน ณ ท่าอากาศยานปลายทางทราบ
(14) ทำความสะอาดชุดอุปกรณ์ในห้องโดยสารที่ต้องส่งต่อหรืออาจมีการส่งต่อ เช่น อุปกรณ์สาธิตเพื่อความปลอดภัย (Safety demonstration kits) เข็มขัดนิรภัยส่วนต่อขยาย (Extension Seat Belt) เข็มขัดนิรภัยส่วนต่อขยายสำหรับทารก (Infant Seat Belt) เสื้อชูชีพสำหรับทารก (Infant Life Vest) เป็นต้น ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหลังจากการใช้งานของผู้โดยสาร หรือก่อนส่งต่อให้ลูกเรือผู้ที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
ผู้ดำเนินการเดินอากาศอาจจัดหาชุดอุปกรณ์ควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ (Universal Precautions Kits; UPK) และน้ำยาฆ่าเชื้อ (Disinfecting Agent) ให้มีจำนวนเพียงพอและเหมาะสมในแต่ละเที่ยวบิน เพื่อให้ลูกเรือใช้ทำความสะอาดและกำจัดของเหลวที่มีอันตรายทางชีวภาพเพื่อลดการแพร่เชื้อโรคในห้องโดยสาร
(15) หลังจากเสร็จสิ้นการปฏิบัติการบินทุกครั้ง ให้ทำการฆ่าเชื้อโรค (Disinfection) ในส่วนของห้องโดยสารตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
(16) ในระหว่างที่อากาศยานจอดพักหรือจอดบำรุงรักษา ให้พิจารณาใช้แหล่งพลังงานสำรอง (Auxiliary Power Unit; APU) แทนการใช้อากาศจากสะพานเทียบอากาศยาน และหลังจากไปถึงสถานีปลายทางแล้วควรเปิดประตูระบายอากาศด้วย
(17) แผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง หรือ High Efficiency Particulate Air (HEPA) Filter ต้องได้รับการเปลี่ยนตามกำหนดเวลาที่ระบุในคู่มือผู้ผลิต ชิ้นส่วนที่ใช้แล้วให้ทำการบรรจุใส่ถุงพลาสติกและปิดให้เรียบร้อย
(18) หากอากาศยานมีข้อบกพร่องตามรายการอุปกรณ์ขั้นต่ำที่ใช้งานได้ (Minimum Equipment List; MEL) โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบทำความเย็นและปรับสมดุลความดันและระบบหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสาร (Air Conditioning Packs and Recirculation Fans) ต้องทำการแก้ไขโดยเร็วที่สุด
6.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินดำเนินมาตรการ ดังนี้
(1) ตรวจคัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยาน โดยต้องมีตรวจสอบการสวมหน้ากากหรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้าบริเวณจมูกและปาก และการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย (Body Temperature Screening) ด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายของผู้ถูกตรวจวัด (Non-contact Infrared Thermometer) หากบุคคลนั้นไม่สวมหน้ากากหรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้าบริเวณจมูกและปาก หรือวัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส ให้ปฏิเสธการให้เข้าพื้นที่ท่าอากาศยาน
(2) จัดให้มีแอลกอฮอล์ความเข้มข้นไม่น้อยกว่า 70% ใช้สำหรับล้างมือไว้ให้บริการอย่างเพียงพอให้กับผู้โดยสารและพนักงานของผู้ดำเนินการเดินอากาศ
(3) จัดการเกี่ยวกับการเว้นระยะนั่งหรือยืนห่างกันอย่างน้อย 1 (หนึ่ง) เมตรในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีจัดไว้ให้ดำเนินกิจกรรม เช่น พื้นที่ที่ผู้ดำเนินการเดินอากาศใช้เพื่อดำเนินการออกบัตรขึ้นเครื่อง (Check- in counter) พื้นที่จุดตรวจค้น (Security Check) พื้นที่ที่ผู้โดยสารรอขึ้นเครื่อง (Boarding Gate) เป็นต้น
(4) ควรจัดทำป้ายสัญลักษณ์ เครื่องหมายบนพื้น และประกาศผ่านระบบเสียงประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมการเว้นระยะห่าง
(5) ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค (Disinfection) พื้นที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ ตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
(6) พิจารณาใช้เครื่องปรับอากาศและระบบกรองที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสะอาดของอากาศ ลดการหมุนเวียนและเพิ่มอัตราส่วนอากาศบริสุทธิ์ ทั้งนี้ ควรงดการใช้ลมเป่าแบบแนวนอน
(7) พิจารณาระดับการป้องกันสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเป็นกรณี ๆ ไป เช่น อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) โปรแกรมคัดกรองสุขภาพสำหรับพนักงาน การจัดตารางเวลาทำงาน การจัดเตรียมแอลกอฮอล์ล้างมือให้เพียงพอ เป็นต้น
(8) ควรมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าอาคารผู้โดยสาร โดยให้สิทธิเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในสนามบิน ผู้โดยสารและผู้เดินทางร่วมกับผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือเด็กที่เดินทางโดยลำพังก่อนในระยะเริ่มต้น เพื่อลดความแออัดและแถวคอย รวมถึงความเสี่ยงของการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้น
(9) นำเครื่องมือบริการตนเองต่าง ๆ มาใช้ เช่น เครื่องออกบัตรโดยสารและป้ายติดสัมภาระอัตโนมัติ (Kiosk) เครื่องโหลดสัมภาระอัตโนมัติ (Self-Bag Drop) เป็นต้น เพื่อลดการติดต่อสัมผัส และจะต้องมีการดูแลรักษาอุปกรณ์ดังกล่าวอย่างเหมาะสมและมีการฆ่าเชื้ออย่างสม่ำเสมอ
(10) พิจารณาใช้การตรวจค้นโดยใช้เครื่องมือตรวจจับโลหะแบบเดินผ่าน (Walk Through Metal Detector; WTMD) พนักงานตรวจค้นควรลดการใช้วิธีการตรวจค้นด้วยมือ โดยมีการแจ้งให้ผู้โดยสารทราบล่วงหน้าในเรื่องการเตรียมตัวสำหรับการตรวจค้น
(11) ควรพิจารณาปิดการให้บริการชั่วคราวหรือเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังพื้นที่ให้บริการบางแห่ง เช่น ที่นั่งในร้านอาหารหรือที่นั่งเอนกประสงค์ พื้นที่สูบบุหรี่ พื้นที่เล่นสำหรับเด็ก เป็นต้น
(12) พิจารณาใช้สายพานรับสัมภาระเพื่อไม่ให้เกิดความแออัดของผู้โดยสาร และสำหรับเที่ยวบินที่มีความเสี่ยงสูงให้พิจารณาแยกใช้สายพานที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ
(13) ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกำหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 แนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ที่ 6/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 5) สั่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ในส่วนของการขนส่งสาธารณะ รวมทั้งติดตามและปฏิบัติตามมาตรการอื่นที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมที่มีผลใช้บังคับแก่ท่าอากาศยาน
(14) พิจารณาใช้ความเข้มงวดในการให้บริการแก่อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค (Technical Landing) เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง และหากมีการสับเปลี่ยนผู้ประจำหน้าที่ในอากาศยาน บุคคลดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามมาตรการตาม (13) โดยเคร่งครัด
7.ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศแจ้งเตือนผู้โดยสารเพื่อให้รับทราบและปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่เกี่ยวกับมาตรการทางสาธารณสุขก่อนการเดินทาง และให้ประกาศแจ้งผู้โดยสารอีกครั้งในระหว่างการเดินทาง เพื่อให้ทราบว่าการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ควบคุมอากาศยานหรือเจ้าหน้าที่ประจำอากาศยาน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการสวมอุปกรณ์ป้องกันใบหน้าบริเวณจมูกและปาก และมาตรการทางสาธารณสุขอย่างอื่นบนอากาศยานเป็นความผิดและอาจได้รับโทษตามกฎหมายว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ
8.ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศแจ้งแนวทางปฏิบัติตามข้อ 5. วิธีการและข้อควรระวังเพิ่มเติม รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ ในขณะปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ฉุกเฉินให้เจ้าหน้าที่ของตนทราบและถือปฏิบัติ
9.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินแจ้งแนวทางปฏิบัติตามข้อ 6. ให้เจ้าหน้าที่ประจำท่าอากาศยานของตนทราบและถือปฏิบัติ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะสิ้นสุดไป หรือมีประกาศอื่นใดเพิ่มเติม
ประกาศ ณ วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2563
...