*ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้เวลา08.30น.*

19 ธันวาคม 2557, 08:38น.


+++ใกล้เทศกาลปีใหม่ มีการเตรียมเดินทาง หลายหน่วยงานมีการประชุมร่วมกันทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภาครัฐ เอกชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ลดปัญหาการจราจรติดขัดถนนสายหลักในช่วงเดินทางทั้งขาไปและกลับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับให้ทุกฝ่ายช่วยกันดูแลสถานการณ์ช่วงปีใหม่ นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ระบุว่า บขส.จะเสนอทบทวนปรับลดอัตราค่าโดยสาร หลังจากสถานการณ์ราคาน้ำมันลดลงอย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นอาจจะปรับลดราคาค่าโดยสารลง 2 สตางค์ต่อกิโลเมตร โดยจะให้มีผลก่อนเทศกาลปีใหม่ น่าจะชัดเจนในการประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง วันที่ 22 ธันวาคม



+++นายจุฬา สุขมานพ อธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) กล่าวว่า วันที่ 19 ธันวาคมนี้ กรมเจ้าท่าจะมีการประชุมร่วมกับบริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ผู้ให้บริการเรือด่วนเจ้าพระยาและเรือข้ามฟากในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อพิจารณาให้มีการปรับลดอัตราค่าโดยสารลง ภายหลังเรือคลองแสนแสบได้ปรับลดค่าโดยสารลงระยะละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม



+++ส่วนการเตรียมรถในช่วงวันหยุดปลายปี นายวุฒิชาติ คาดว่าจะมีผู้โดยสารเริ่มทยอยเดินทางออกจากกรุงเทพฯไปจังหวัดต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค ตั้งแต่วันที่ 26-30 ธันวาคม 2557 และเดินทางกลับในช่วงวันที่ 3-5 มกราคม 2558 โดย บขส.ได้เพิ่มเที่ยววิ่งรถโดยสาร (รถ บขส., รถร่วม, รถตู้) รองรับประชาชนทั้งเที่ยวไป-กลับ จากปกติวันละประมาณ 5,700 เที่ยว เพิ่มรถเสริมอีกประมาณ 1,400 เที่ยว รวมวันละประมาณ 7,100 เที่ยว สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงถึงวันละ 1แสน 85,000 คน และคาดว่าวันที่ 30 ธันวาคม 2557 จะมีผู้โดยสารมาใช้บริการสูงสุดถึง 1แสน 85,000 คน 



+++นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า หลังจากได้หารือร่วมกับบริษัทผู้ให้บริการเรียกรถในลักษณะรถแท็กซี่ผ่านแอพพลิเคชั่น ยืนยันว่า กรมการขนส่งทางบกไม่ปฏิเสธการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ และอยู่ในระหว่างขอแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อรองรับบริการดังกล่าวแล้ว นายธีระพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมมาตรฐานรถแท็กซี่ในระบบให้เป็นที่พึงพอใจของประชาชนควบคู่กับการจัดระเบียบรถโดยสารสาธารณะ เริ่มดำเนินโครงการนำร่อง “ไปทุกที่ ไม่มีปฏิเสธ” ซึ่งรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการจะติดสติกเกอร์สีชมพูแสดงข้อความดังกล่าวในบริเวณที่ประชาชนสามารถสังเกตเห็นได้โดยง่าย



+++พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พร้อมรองผบก.น.1-9 และ รองผบก.จร. ประชุมร่วมกับศูนย์การแพทย์ฉุกเฉิน และมูลนิธิกู้ภัย 8มูลนิธิทั่วกรุงเทพฯ จัดระเบียบการใช้สัญญาณไฟและไซเรนฉุกเฉิน นอกจากนี้ จะกวดขันเอาจริงกับผู้ขับขี่รถ ตั้งด่านตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์หลังเวลา 22.00 น. หน้าสถานบริการในพื้นที่นครบาล โดย 1 สถานบริการต่อ 1 สถานี ระหว่างวันที่ 19-25 ธ.ค.จากนั้นจะขยายพื้นที่ออกไปเป็น 2 สถานบริการ และจะขยายพื้นที่ให้ได้176 สถานบริการก่อนถึงวันปีใหม่



+++พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) มีหนังสือกำชับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี2558 โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ในสังกัด บช.น.ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ให้ข้าราชการตำรวจทุกระดับงดการลาช่วงวันที่ 30ธันวาคม2557-5มกราคม2558 ยกเว้นมีความจำเป็นแท้จริง ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นในแต่ละหน่วยงานและสายงาน ให้ออกปฏิบัติหน้าที่และตรวจสอบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในความรับผิดชอบ โดยเพิ่มความเข้มของการปฏิบัติในช่วงเวลาดังกล่าวและอย่าให้เกิดข้อบกพร่องขึ้นได้โดยเด็ดขาด



+++นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ประชุมร่วมกับหน่วยงานราชการที่ได้รับงบประมาณสูง 9 แห่ง และรัฐวิสาหกิจที่มีงบลงทุนสูง 8 แห่ง เช่น กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมโยธาธิการและผังเมืองฯลฯ  เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม-ธันวาคม 2557) ต้องมีการเบิกจ่ายให้ได้ร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้ 2.575 ล้านล้านบาท หรือต้องเบิกให้ได้ 7.5 แสนล้านบาท โดยเท่าที่ติดตามตัวเลขน่าจะเบิกจ่ายได้ประมาณร้อยละ 30 หรือคิดเป็นวงเงิน 7.25 แสนล้านบาท ถือว่าใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ และหากรวมกับงบอื่นๆ ทั้งงบเหลื่อมปี เงินทุนหมุนเวียน งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงการจ่ายเงินให้กับชาวนา และชาวสวนยาง พบว่ามีเม็ดเงินที่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปี 9 แสนล้านบาท จะพยายามให้เม็ดเงินจากงบประมาณลงสู่เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและจะมีมาตรการติดตามการใช้งบลงทุน รวมถึงการเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ปลดล็อกและผ่อนคลายกฎระเบียบการเบิกจ่ายงบประมาณ ทั้งในเรื่องของผ่อนคลายการจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อีออคชั่น) การอุทธรณ์ และในเรื่องการกำหนดราคากลาง เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า  นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวก็เพื่อสนับสนุนให้ใช้งบประมาณได้เร็ว แต่ก็ต้องทำให้รัดกุมเพื่อไม่ให้มีช่องว่างทุจริต



+++การลงทุนในตลาดหุ้นไทย นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ดัชนีหุ้นไทยเริ่มปรับตัวสูงขึ้นหลังลดลงแรงในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่ากลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วหรือไม่ ซึ่งนักลงทุนต้องระมัดระวังให้มาก เพราะสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศยังกดดันดัชนีเป็นระยะ รวมทั้งต้องศึกษาปัจจัยพื้นฐานให้รอบคอบก่อนการลงทุน ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงถือเป็นปัจจัยบวกพอสมควร เนื่องจากไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมันค่อนข้างมาก ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจลดลง อย่างไรก็ตามนักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุนอย่างใกล้ชิด



+++พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้หารือกับหน่วยงานความมั่นคงในประเด็นการดำเนินคดีมาตรา 112 กับกลุ่มคนที่มีพฤติการณ์ปล่อยข่าวทุบตลาดหุ้น และหมิ่นเบื้องสูง โดยในส่วนของกระทรวงยุติธรรมได้หารือกับสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อติดตามตัวผู้กระทำความผิดเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในไทย แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบางประเทศไม่มีกฎหมายเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม จะต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเนื้อหาข้อมูลในสื่อโซเชียลมีเดีย



+++เรื่องยาเสพติด  รมว.ยุติธรรม  กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการผู้บริหารสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดระบบบังคับบำบัดว่า แนวโน้มการแก้ปัญหายาเสพติดทั้งระดับโลกและภูมิภาคมีปัญหาใหญ่ โดยต้องมีการทำอย่างจริงจังทุกระบบ เน้นงาน 3 ส่วน 1.ป้องกันปราบปรามและบังคับใช้กฎหมาย 2.การบำบัดฟื้นฟู และ 3.ป้องกันสร้างภูมิคุ้มกัน โดยต่อปีมีการจับยาเสพติดได้เพียงร้อยละ 15 ส่วนที่เหลือร้อยละ 85 ไม่สามารถจับกุมได้  วันนี้ ประเทศไทย ถือว่าเป็นฮับของยาเสพติด มียาระบาดสูงสุดในอาเซียน ทั้งที่จริงประเทศไทยต้องเป็นฮับเรื่องสุขภาพและเศรษฐกิจการเงิน ดังนั้นในแง่ของกายภาพจะต้องทำเต็มที่ วันนี้ไม่ได้ต้องการตัวเลข แต่ต้องการคุณภาพ โดยทำอย่างไรไม่ให้ผู้ติดยาเสพติดกลับไปยุ่งเกี่ยวอีก



+++เชียร์ทีมชาติไทย พรุ่งนี้ รอบชิงชนะเลิศ นัดที่สอง ที่สนามบูกิต จาลิล ประเทศมาเลเซีย ในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ วันนี้ นักเตะลงฝึกซ้อมที่สนามบูกิต จาลิล  ซิโก้ ยืนยันความพร้อมของทีมชาติไทยว่า นักเตะไทยพร้อมลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลนับแสนที่สนามบูกิต จาลิล แต่เกมนัดที่ 2 กับ มาเลเซียนี้ อาจต้องเน้นรัดกุมมากกว่าเดิม



+++ดอลลาห์ ซัลเลห์ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติมาเลเซียให้สัญญาว่าทีมนักเตะมาเลเซียจะโชว์ฝีเท้าให้มากขึ้นในการพบกับไทย รอบชิงชนะเลิศนัดที่สองของศึกฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพที่สนามบูกิตจาลิล วันเสาร์นี้ เวบไซต์ข่าวเดอะสตาร์ออนไลน์ของมาเลเซียรายงานว่า ทีมชาติมาเลเซียต้องเจองานยากหลังพ่ายทีมช้างศึกไทยในรอบชิงฯนัดแรกไป 2-0 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อค่ำวันพุธ ทำให้กุนซือใหญ่ทีมเสือเหลืองถึงกับอารมณ์เสียในช่วงแถลงข่าวหลังจบการแข่งขัน กล่าวว่า ฝ่ายมาเลเซียเล่นได้ดีในครึ่งแรก แต่แนวรับเริ่มปั่นป่วนหลังจากผ่านไป 70 นาที และจุดโทษที่ไทยได้ทำให้มาเลเซียเสียจังหวะ ในรอบชิงฯนัดที่สอง มาเลเซียจะเปลี่ยนรูปแบบใหม่เพราะไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว แม้เป็นเรื่องยากที่จะต้องเอาชนะให้ได้ 2-0 แต่ในโลกของฟุตบอล อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในช่วงเวลา 90 นาที และว่าทีมชาติไทยเล่นได้ดีในการแข่งขันเมื่อวันพุธจนเอาชนะไปได้ ซึ่งมาเลเซียก็เริ่มต้นได้ดีแต่กลับไม่สร้างโอกาสในการทำเกมต่อเนื่อง



+++แม้นักเตะมาเลเซียจะพ่ายแพ้ทีมชาติไทย แต่กระแสฟุตบอลฟีเวอร์ของชาวมาเลเซียยังไม่ลดน้อย การเปิดจำหน่ายบัตรเข้าชมรอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 ลอตแรกได้หมดลงในเวลาอันรวดเร็ว ตั๋วสำหรับผู้ใหญ่ ราคา 50 ริงกิตหรือประมาณ 500 บาท ซึ่งขึ้นราคาจากเดิมในรอบรองชนะเลิศที่จำหน่ายเพียง 40 ริงกิตเท่านั้น ขณะที่ตั๋วสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีจะจำหน่ายในราคา 10 ริงกิตหรือราว 95 บาท โควต้าสำหรับคนไทยมีให้เพียง 2,500 ที่นั่ง จากความจุสนามบูกิต จาลิลถึง 87,500ที่นั่ง แต่คาดว่าจะมีแฟนบอลไทยหลั่งไหลมาชมการแข่งขันราว 5,000 คน



CR:AFF Suzuki Cup



 

ข่าวทั้งหมด

X