สถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทย ที่ในวันนี้มีผู้ติดเชื้อเป็นคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ 5 คน และอยู่ในสถานที่กักตัวที่รัฐบาลจัดไว้ให้ นพ.ธีระ วรธนารัตน์ จากคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความในเพจส่วนตัว ตั้งข้อสังเกตถึงผู้ติดเชื้อที่กลับจากต่างประเทศเมื่อออกเดินทางจากประเทศต้นทางไม่พบเชื้อแต่กลับมาพบเชื้อเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย สะท้อนให้เห็น 2 ประเด็นคือ
-หนึ่ง ถึงตรวจมาจากต้นทางว่าไม่ติดเชื้อ ก็ไม่สามารถการันตีว่าไม่ติดเชื้อได้
-สอง การกักตัวเฝ้าสังเกตอาการ 14 วันและตรวจซ้ำเป็นระยะนั้นสำคัญยิ่งนัก
พร้อมให้มุมมองว่า แนวคิดฟองสบู่ท่องเที่ยว "ฉันเชื่อใจเธอ เธอเชื่อใจฉัน เราจะไม่กักกัน" ขาดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง เพราะการนำหลักฐานการตรวจจากต้นทางไม่สามารถนำมาใช้การันตีความปลอดภัย และไม่สามารถนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการไม่กักตัว
ไม่มีประเทศใดที่ปลอดภัย 100% และจำนวนมากก็กำลังระบาดรอบสองโดยไม่สามารถคุมได้
อัตราเพิ่มของผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น จาก 32,000 คนต่อวัน ในช่วงมีนาคม มาสู่ 100,000 คนในช่วงเมษายนถึงมิถุนายน และตอนนี้ 200,000 คนต่อวันในเดือนกรกฎาคม ดังนั้น ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลควรเอาแรงกายแรงใจแรงปัญญา ไปทุ่มเทหาวิธีช่วยเหลือประชาชน โดยไม่ต้องไปหวังกับเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ ควรหารายได้จากวิธีอื่น ให้พอหายใจหายคอได้ ยืนบนขาตนเอง ช่วยเหลือแบ่งปันทรัพยากรภายในประเทศอย่างพอเพียง
การต่อสู้กันมาหลายเดือนแล้ว จะมาตกม้าตายเพราะนโยบายที่หวังเอาเงินแลกกับความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของทุกคนในประเทศไม่ได้เด็ดขาด สุดท้ายแล้ว การบ้านที่นายกรัฐมนตรีและหน่วยงานความมั่นคงควรพิจารณาอย่างยิ่งคือ
จะทำอย่างไร ไม่ให้เกิดปรากฏการณ์วิกฤตแบบรอบที่ผ่านมาอีกในอนาคต เราได้รับผลกระทบกันหนักหนาสาหัส เพราะอะไร วงในย่อมทราบกันดี ปรากฏการณ์เชียร์แข่งรถในช่วงโรคระบาด หน้ากากล่องหน หวัดธรรมดา หักหัวคิวโรงแรม ยาเสพติดรักษาสารพัดโรค และการบอกให้คนอื่นทำโน่นนี่นั่น แต่สุดท้ายทำตรงกันข้าม ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลยในสังคม...แต่เกิดขึ้นมาเพราะอะไร? ถึงเวลาแล้วครับ...ก่อนจะสายเกินไปจนเกิดภาวะสาหัสและอาจกู้คืนอีกไม่ได้