พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยว่า หลังจากสอบปากคำพยานในคดีแผนการชิงตัว พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างการควบคุมตัวมาให้การที่ศาลพบว่าพยานบางส่วนให้การขัดแย้งกับพยานหลักฐานที่ตำรวจมีอยู่ ซึ่งอาจเข้าข่ายให้การเท็จกับเจ้าพนักงาน และคาดว่าจะต้องมีผู้ถูกแจ้งข้อหาดังกล่าว แต่จะมีจำนวนกี่คนยังไม่ขอเปิดเผย
ส่วนพยานหลักฐานที่ตำรวจมียืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ค่อนข้างชัดเจน การที่พยานบางคนโดยเฉพาะนายวรภัทร์ ตั้งภากรณ์ ลูกชายพ.ต.ท.บรรยิน ที่เปิดเผยว่า เป็นแผนการที่ไม่สามารถเป็นไปได้ เห็นว่าเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาที่ให้การอย่างไรก็ได้ แต่ตำรวจมีหลักฐานที่ค่อนข้างแน่นหนาจึงตั้งคณะทำงานชุดใหญ่มาสอบสวน หากไม่มีมูลตำรวจกองปราบคงไม่ทำคดี
ประเด็นที่นายวรภัทร์ อ้างว่าไม่รู้จักกับผู้ต้องขังในเรือนจำเดียวกับพ.ต.ท.บรรยิน ต้องไปตรวจสอบความเชื่อมโยงกันก่อน รวมทั้งข้อมูลการติดต่อสื่อสาร แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด หากการประชุมสรุปภาพรวมคดีในวันนี้แล้วพบว่า มีพยานคนใดที่ให้การเท็จกับเจ้าพนักงานก็จะแจ้งข้อกล่าวหาและหากมีบุคคลใดที่อาจจะต้องสอบปากคำเพิ่มเติมก็จะเชิญเข้าพบพนักงานสอบสวนอีกครั้ง
คณะพนักงานสอบสวนและสืบสวนคดีแผนการชิงตัว พ.ต.ท.บรรยิน สอบปากคำพยานในคดีไปกว่า 20 คน และสอบสวนพยาน 3 คนหลักในคดีที่ถูกพาดพิงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการครั้งนี้ ประกอบไปด้วย พ.ต.ท.นุกูล แสงศิริ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรเขต 4 จังหวัดนครสวรรค์ นายกรณ์ กันเที่ยง ทนายความที่ประกันตัวนายสุธน ทองศิริ หรือ โจ อายุ 42 ปี อดีตผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำเดียวกันกับพ.ต.ท.บรรยิน และนายวรภัทร์ ลูกชายพ.ต.ท.บรรยิน โดยทั้ง 3 คนให้การว่าไม่เกี่ยวข้องกับแผนดังกล่าว
แฟ้มภาพ