ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 07.30 น.วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563

03 กรกฎาคม 2563, 07:47น.


ตร.พร้อมรับมือประชาชนเดินทางช่วงหยุดยาว



          พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกด้านการจราจรและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนช่วงวันหยุดยาวอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา 4-7 ก.ค. ซึ่งจะมีประชาชนจำนวนมาก เดินทางกลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาว คาดว่าน่าจะไม่มากเท่าช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว เนื่องจากปีนี้มีการแบ่งหยุดหลายช่วง



          เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดกำลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรับแผนการเดินทางเน้นระวังจุดเสี่ยงตามทางขึ้นเขา-ลงเขา ถนนมิตรภาพ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 กบินทร์บุรี-วังน้ำเขียว และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 348 อรัญประเทศ-นางรอง ส่วนการบังคับใช้กฎหมายปีนี้ เน้นย้ำเรื่องการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ทุกฝ่ายและให้ดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดกับผู้กระทำความผิดกรณีเมาแล้วขับ และหากผู้กระทำความผิดเมาแล้วขับอายุต่ำกว่า 18 ปี ให้ขยายผลดำเนินคดีกับผู้จำหน่ายสุราให้กับเด็กอีกด้วย



หอการค้า เผยเข้าพรรษาปีนี้ เงินสะพัดต่ำสุด



          นายธนวรรธน์ พลวิชัย  ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงวันอาสาฬหบูชา และเทศกาลเข้าพรรษา จากการสำรวจประชาชนทั่วประเทศ 1,234 คน ช่วงวันที่ 22-28 มิ.ย. พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 82.6 ไม่มีการวางแผนเดินทางออกนอกพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลต่อเงินสะพัดช่วงอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษาปีนี้ มูลค่าประมาณ 5,296 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21 ตัวเลขต่ำสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2558 หรือจากที่ได้ทำสำรวจมา เนื่องจาก วิตกการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สถานการณ์ทางการเมืองไม่นิ่ง และสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว



          อย่างไรก็ตาม มีประชาชนร้อยละ 33 เดินทางไปทำบุญ  แต่ลดลงจากปีก่อนที่มีจำนวนร้อยละ 54.1มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องเร่งดำเนินการให้รวดเร็ว ชดเชยเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่ลดลง สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนถึงการควบคุมการระบาดของโควิด-19 โดยไม่ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลมากจนเกินไปจนหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด



ระดมสมอง ครม.เศรษฐกิจ นายกฯ สั่งหาทางฟื้นประเทศ ดึงเอกชนช่วย



          นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี เรียกประชุม ครม.เศรษฐกิจเต็มคณะ ในวันที่ 10 ก.ค. วาระสำคัญคือ



-การติดตามภาวะเศรษฐกิจไทย 



-หามาตรการช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะการแก้ปัญหาการเข้าไม่ถึงซอฟต์โลน ซึ่งต้องมาดูว่าจะปรับปรุง ผ่อนปรนเงื่อนไขอย่างไรได้บ้าง



          ก่อนหน้านี้ ทีมเศรษฐกิจ ประเมินว่าโรคโควิด-19 จะกระทบเศรษฐกิจ 3 เดือน และจะทยอยฟื้นตัวได้ครึ่งปีหลัง แต่เมื่อดูตัวเลขเศรษฐกิจเดือน เม.ย.- พ.ค. ตัวเลขเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออกที่ติดลบมาก การท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปกว่าร้อยละ 100 ตัวเลขหนี้ NPL ที่เพิ่มขึ้นมาก และสถานการณ์โควิด-19 หลายประเทศยังไม่ดีขึ้น ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมากระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการส่งออกและการท่องเที่ยวจะกินเวลายาวนานกว่าที่คาดไว้ อย่างเร็วเศรษฐกิจอาจฟื้นตัวได้ไตรมาส4 จากการลงทุนภาครัฐและเม็ดเงินต่างๆที่ลงไปได้มากขึ้น



          ส่วนการหารือเรื่องการวางแผนพัฒนาประเทศในระยะต่อไป นายกรัฐมนตรี อยากให้ทำเรื่องนี้ควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้ช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้น มีมาตรการใหม่ๆมาขับเคลื่อนสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจในระยะยาว ต้องทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชนที่เรียกว่า Big push เพื่อยกระดับประเทศให้ทะยานไปข้างหน้า นายกรัฐมนตรีสั่งการว่าให้มีการประชุม ครม.เศรษฐกิจ 2 สัปดาห์ครั้ง เพื่อใช้เวทีนี้รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ ให้รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจรับทราบ และหารือมาตรการเศรษฐกิจเพิ่มเติมร่วมกัน



“รองสมคิด” ให้ สศค.-สรรพากร หามาตรการกระตุ้นศก.ชุมชน เพิ่มการจ้างงาน



         นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกรมสรรพากร คิดมาตรการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพิ่มเติมจากที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไปก่อนหน้านี้แล้ว สรุปมาตรการให้เสร็จภายในกลางเดือน ก.ค.นี้  มาตรการที่ออกมา จะต้องเน้นการกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวในชุมชน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งนี้ การกระตุ้นท่องเที่ยวในชุมชน ยังช่วยลดปัญหาการว่างงานในชุมชนอีกด้วย เพราะจากสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด โรงงานปิดตัวหลายแห่ง จึงทำให้มีแรงงานจำนวนมากย้ายกลับถิ่นฐานของตนเอง



ธปท.เร่งผ่อนคลายเกณฑ์การเข้าถึงซอฟต์โลน



          เรื่องสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) 500,000 ล้านบาท ได้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง ร่วมกันหากลไกหรือผ่อนคลายเงื่อนไข เพื่อให้กลุ่มผู้ประกอบการที่มีขนาดเกิน 500 ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงซอฟต์โลนของ ธปท.ได้ และยังขาดสภาพคล่องอยู่ เช่น ธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยว สายการบิน สามารถเข้าถึงซอฟต์โลนของ ธปท.ได้ ภายในกลางเดือน ก.ค.นี้



สสว.เสนอ ครม.8ก.ค. ตั้งกองทุนช่วยเหลือคนตัวเล็ก  50,000 ล้าน



          เอกชนขอให้สถาบันการเงิน ขยายเวลาพักชำระหนี้ออกไป 2 ปี จากปัจจุบันผ่อนปรนให้ 6 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุด ก.ย.นี้ ได้ให้กระทรวงการคลังและธปท.หาแนวทางว่าทำได้หรือไม่ เพื่อแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง โดยไม่ต้องรอให้ธุรกิจปิดกิจการไปก่อนค่อยแก้ปัญหา และเพื่อไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ดังนั้นต้องเร่งช่วยเหลือให้เร็วที่สุด ล่าสุด สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) จะตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคนตัวเล็ก 50,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้เอสเอ็มอีที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงิน คาดจะเสนอ ครม.พิจารณา 8 ก.ค.นี้



 

ข่าวทั้งหมด

X