*โฆษกสตช. ปสง.ก.ICT บล็อค IP บุคคลหมิ่นม.112จากตปท.สกัดส่งข้อความเข้าไทย*

การดำเนินการคดีผู้กระทำผิดกฏหมายม.112 พลตำรวจโทประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคดีหมิ่นตามสื่อโซเชียลมีเดีย และได้รับความร่วมมือจากต่างประเทศพบผู้ที่เผยแพร่ข้อความดังกล่าวอยู่ที่ต่างประเทศ2-3ราย ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากในการติดตามตัวผู้กระทำความผิด เนื่องจากกฎหมายข้อตกลงของประเทศไม่ครอบคลุมข้อหานี้ จึงทำได้เพียงการประสานงานร่วมกัน เบื้องต้นทางกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ จะทำการตรวจสอบไอพีคอมพิวเตอร์ของผู้กระทำผิดและทำการบล็อคให้ไม่สามารถส่งข้อความเข้ามายังประเทศไทได้

สำหรับกรณีที่มีผู้ปล่อยข่าวเมื่อวันที่15ธ.ค.ทำให้หุ้นตกนั้น จากตรวจสอบแล้วไม่พบความเชื่อมโยงกับผู้ที่กระทำผิดในลักษณะเดียวกันเมื่อปี2552แต่พบว่าผู้ที่ทำการปล่อยข่าว มีความเชื่อมโยงกับผู้กระทำผิดตามกฏหมายมาตรา112 ซึ่งจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

ส่วนการปรับแก้กฎหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลมีอำนาจตรวจค้นโดยไม่ต้องมีหมายจับได้ นั้น โฆษกสตช. ปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นการให้อำนาจตร.สันติบาลมากจนเกินไป แต่เป็นการเพิ่มกำลังและประสิทธิภาพการทำงานเกี่ยวกับคดีความมั่นคงและการหมิ่นสถาบัน เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญด้านการสืบสวนและการข่าว อีกทั้งยังเป็นการเพิ่ใกำลังให้กับตร.ในพื้นที่นั้นๆอีกด้วย

ขณะที่ประเด็นการโยกย้ายข้าราชการตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พลตำรวจโทประวุฒิ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้สมัครใจที่จะขอย้ายเองประมาณ10-20ราย ซึ่งมีทั้งผู้เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเครือข่ายของอดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และขอย้ายเพื่อเปลี่ยนงาน ซึ่งไม่ใช่เป็นการย้ายเพื่อการฟอกตัว หรือไปตำแหน่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนทดแทนในตำแหน่ง โดยผู้บังคับบัญชาในสังกัดใหม่ สามารถตรวจสอบประวัติของตร.ที่ย้ายไปได้ ซึ่งจะมีการตรวจสอบตร.ที่ขอย้ยโดยสมัครใจ และมีคำสั่งให้ย้ายต่อไป ว่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายอดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลางมากน้อยแค่ไหน

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยอมรับ ว่า ตัวเลขการรับสินบนน้ำมันเถื่อน150ล้านบาทนั้นเป็นเรื่องจริงและจากการถอดรหัสจากบัญชีรายชื่อรับส่วยที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเคยเปิดเผย ตรงกับคำให้การรับสารภาพของผู้ต้องหา รวมทั้งจำนวนเงินและรายชื่อค่อนข้างตรงกัน ซึ่งหลังจากนี้จะมีออกคำสั่งให้ตำรวจอีกจำนวนหนึ่งมาช่วยราชการอีก แต่ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่สามารถบอกได้ว่ามีกี่ราย