สถานการณ์โรคโควิด-19ในประเทศไทยยิ่งคลี่คลาย แต่คนไทยยิ่งเครียด นพ.จุมภฎ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ย้ำว่า ภาวะอารมณ์ของคนมีการเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนกัน แม้ภายนอกอาจจะดูเหมือนว่าปกติดีก็ตาม ดังนั้นขอให้ประชาชนช่วยกันสังเกตอารมณ์ตัวเองสังเกตคนรอบข้าง คนในครอบครัวว่ามีปัญหาความเครียด ความกังวลอย่างไรหรือไม่ สังเกตง่ายๆ คือมีอาการซึมลงหรือไม่ นอนไม่หลับ ใช้สารเสพติด ดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่มากขึ้นหรือไม่หากมีอาการเหล่านี้กับตัวเอง หรือคนรอบข้าง ขอให้ไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน หรือโทรสายด่วน1323 เพื่อให้คำปรึกษาเบื้องต้น หากไม่ดีขึ้น จะได้ส่งต่อเข้ารับการรักษาต่อไป แผนการดูแลสุขภาพจิต จะดู 3 ด้าน คือ
-พลังใจ อึด ฮึด สู้ ระดับบุคคล
-การทำให้ครอบครัวเข้มแข็งจับมือผ่านปัญหา
-ทำให้ชุมชนสร้างความรู้สึกปลอดภัย มีหวังว่าจะผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน ไม่กีดกัน แบ่งแยก เชื่อว่าถ้ามีการระบาดรอบ 2 เราสามารถใช้แนวทางเดิมนี้ได้
จากการประเมินสุขภาพจิตประชาชนในช่วงการระบาดโควิด-19 เป็นระยะ รวม 6 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดมีการสำรวจวันที่ 26-30 พ.ค. โดยสำรวจความเครียด ภาวะหมดไฟ ภาวะซึมเศร้า ความคิดทำร้ายตัวเอง ทั้งในกลุ่มประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์ พบว่าบุคลากรทางการแพทย์มีความเครียดระดับมาก เพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ4.8 เป็นร้อยละ 7.9 เช่นเดียวกับกลุ่มประชาชนเครียดระดับมาก เพิ่มจากร้อยละ2.7 เป็นร้อยละ4.2
ส่วนภาวะหมดไฟก็พบว่าเพิ่มมากขึ้นทั้ง 2 กลุ่ม โดยในส่วนของบุคลากรสาธารณสุขนั้นแม้ว่าการระบาดจะลดลง แต่ภาระงานยังเพิ่มขึ้นจากผู้ป่วยโรคเรื้อรังและโรคอื่นๆ กลับเข้ามา เหมือนเดิม ส่วนประชาชนทั่วไปก็มีภาวะหมดไฟเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะความพยายามในการต่อสู้กับความยากลำบากทำให้เกิดความเหนื่อยล้าหมดไฟได้ ซึ่งการสำรวจข้อนี้จะแบ่งเป็น 3 ด้าน
1.ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ รู้สึกหมดพลัง หมดหวัง สูญเสียพลังงานทางจิตใจ บุคลากรทางการแพทย์เพิ่มจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6.5 ส่วนประชาชนเพิ่มจากร้อยละ3.3 เป็น ร้อยละ3.6
2.ด้านการมองความสามารถในการทำงานลดลง ขาดความรู้สึกประสบความสำเร็จ กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มจากร้อยละ 3.1 เป็น ร้อยละ 4.7 ประชาชนเพิ่มจากร้อยละ 2.2 เป็น ร้อยละ 3.2
และ3.การมองความสัมพันธ์ในที่ทำงานในทางลบ ระแวงง่ายขึ้น รู้สึกเหินห่างจากคนอื่น กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มจากร้อยละ 4.1 เป็น ร้อยละ 4.9 และประชาชนเพิ่มจากร้อยละ 1.7 เป็น ร้อยละ 2.6
สำหรับอาการซึมเศร้า บุคลากรสาธารณสุข เพิ่มจาก ร้อยละ 1.4 เป็นร้อยละ 3 ประชาชน ซึมเศร้าเพิ่มจากร้อยละ 0.9 เป็นร้อยละ 1.6 เช่นเดียวกับความคิดทำร้ายตัวเองก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยบุคลากรการแพทย์ เพิ่มจากร้อยละ 0.6 เป็นร้อยละ 1.3 ขณะที่ประชาชนเพิ่มจากร้อยละ 0.7 เป็นร้อยละ 0.9 แม้จะเพิ่มขึ้นแต่ไม่มากแต่ต้องระวัง และประเมินสถานการณ์ต่อไปเพราะภาวะซึมเศร้าเสี่ยงที่จะทำร้ายตัวเอง
ด้านความกังวลพบว่า ทั้ง 2 กลุ่มกลัวการติดเชื้อทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังมีความเชื่อมั่นต่อระบบสาธารณสุขระดับประเทศ และระดับจังหวัดของตนเองคิดเป็นร้อยละ 99 นับเป็นกำลังใจให้คนทำงานมากที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่น ไว้วางใจ