ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันจันทร์ 15 มิถุนายน 2563

15 มิถุนายน 2563, 18:55น.


ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันจันทร์ 15 มิถุนายน 2563



ร่วงไม่หยุด!นักลงทุนเทขายหลังโควิด-19 กลับระบาดหนักในสหรัฐฯ-จีน หุ้นไทยติดลบ 40.57 จุด



          การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้ (15 มิ.ย.2563) การซื้อขายตลอดทั้งวัน นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง  จากการขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ โดยมีแรงกดดันจากดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคและราคาน้ำมัน โดยยังต้องติดตามดูว่าในอาทิตย์นี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะฟื้นได้หรือไม่ อีกทั้งนักลงทุนเริ่มกลับมากังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อมีรายงานพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐฯ และจีน ทำให้ปิดตลาดฯวันนี้ที่ระดับ 1,341.99 จุด ลดลง 40.57 จุด มูลค่าการซื้อขาย 83,379.76 ล้านบาท



          ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดร่วงหลุดจากระดับ 22,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพ.ค. เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในกรุงโตเกียวและพื้นที่อื่นๆทั่วโลกได้ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบสอง ดัชนีนิกเกอิ ร่วงลง 774.53 จุด ปิดที่ 21,530.95 จุด



          ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดร่วงลงกว่าร้อยละ 1 ในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบสองของไวรัสโควิด-19 ในจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดร่วงลง 29.71 จุด ที่ 2,890.03 จุด



          ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดวันนี้ปรับตัวลดลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบสองของไวรัสโควิด-19 ทั้งในจีนและสหรัฐฯ ดัชนีฮั่งเส็งร่วงลง 524.43 จุด ปิดวันนี้ที่ 23,776.95 จุด



'ศบค.' ยก'จีน-ญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย' ตัวอย่างโควิด-19แฝงตัวระบาดรอบใหม่



          สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในต่างประเทศ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธินโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวว่า ญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกรุงโตเกียวถึง 47 คน และเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง แม้โตเกียวจะยังไม่สั่งปิดสถานที่ท่องเที่ยว แต่จะตรวจเชื้อและเฝ้าระวังสถานการณ์ต่อไป ขณะที่ประเทศออสเตรเลีย รัฐนิวเซาท์เวลส์ พบผู้ติดเชื้อในท้องถิ่นรายแรก เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. หลังไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นศูนย์ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ค. เป็นสัญญาณว่าโรคระบาดยังไม่สิ้นสุดง่ายๆ ผู้ติดเชื้อเป็นชายวัย 20 ปี ที่หน่วยงานสาธารณสุขยืนยันว่า ไม่เคยไปร่วมชุมนุมประท้วงที่นครซิดนีย์ ไวรัสน่าจะยังแฝงอยู่ในชุมชนโดยผู้ป่วยมีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลยนำเชื้อไปแพร่



          ดังนั้น คนไทยควรต้องนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นบทเรียน เพื่อปรับมาตรการปกป้องคนไทยต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้น 3 ประเทศเป็นตัวอย่างให้เราระมัดระวัง สิ่งสำคัญที่เราแตกต่างจากที่อื่น ที่เขาบอกว่าเป็นอันดับ 1 ของเอเชียในการควบคุมโควิด-19 ได้ดี คือ ใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ตรงนี้จะปกป้องเราได้ ขอให้ทำอย่างนี้ต่อเนื่องใน 5 มาตรการหลักบวกการเช็กอิน-เช็กเอาท์ด้วยแอปฯไทยชนะ



นายกรัฐมนตรี ขู่พร้อมเคอร์ฟิวใหม่ หลังผ่อนปรนวันแรกเจอเด็กแว้นป่วน



          มาตรการควบคุมโรค โควิด-19 หลังผ่อนปรนระยะที่ 4 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชน เพื่อไม่ให้โรคโควิด-19 กลับมาระบาดซ้ำ ส่วนคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ยังต้องเข้าสังเกตอาการภายในสถานกักตัวของรัฐ และสถานกักตัวทางเลือก



         ส่วนการยกเลิกคำสั่งห้ามออกนอกเคหสถาน หรือ เคอร์ฟิว คืนแรกที่พบกลุ่มขับขี่จักรยานยนต์รบกวนประชาชน นายกรัฐมนตรี ขอให้ประชาชนและผู้ปกครองช่วยกันดูแล หากไม่สามารถควบคุมได้ ก็อาจต้องกลับมาบังคับใช้คำสั่งเคอร์ฟิวใหม่อีกครั้ง



คนไทยการ์ดยังไม่ตก ยอมรับ รักษาระยะห่างระหว่างกันทำยาก



         การผ่อนปรนกิจการในระยะที่ 4พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการสำรวจความเห็นประชาชนผ่านทาง Thai Stop COVID พบว่าร้อยละ 55 มีความเข้าใจและปรับตัวตามวิถีชีวิตใหม่ แต่สิ่งที่ปรับตัวได้ยาก คือ การเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร เพราะกิจการบางอย่างทำได้ยาก แต่อย่างอื่นทำได้ค่อนข้างดี เช่น เลี่ยงการใช้ขนส่งสาธารณะ สวมหน้ากากอนามัย สังเกตอาการตัวเอง มีไข้ ไอจาม ไม่ออกจากบ้าน อยู่ในระดับที่น่าพอใจ กราฟดีขึ้นเกือบทุกด้าน เช่น การสวมหน้ากากอนามัยกลับมาที่ร้อยละ91 จากที่ลดลงไปอยู่ที่ร้อยละ 90 และเคยทำสูงสุดที่ร้อยละ 92 แต่อยากให้สวมหน้ากากอนามัยมากกว่านี้เมื่อไปที่สาธารณะ คู่กับการเว้นระยะห่าง การล้างมือ การไม่สัมผัสหน้าตัวเอง ก็หวังว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีก  



          พญ.พรรณพิมลกล่าวว่า กิจการเสี่ยงในเฟส 4 ก็ค่อนข้างเป็นห่วงในกลุ่มสวนสนุก เพราะลักษณะกิจการกิจกรรมมีความเสี่ยงในตัวเอง ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคได้ยาก  แต่เท่าที่หารือกับผู้ประกอบการ ก็จะมีการเช็กอินทางเข้า มีการจัดระยะห่างการเล่นเครื่องเล่น คงไม่ได้มานั่งใกล้ชิดกัน ส่วนเรื่องการห้ามตะโกนเมื่อเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวคงเป็นไปได้ยาก เพราะเวลากลัวคนเราก็จะร้องออกมา ซึ่งการให้ใส่หน้ากากอนามัยไว้ตลอดเวลาก็ ช่วยป้องกันได้ส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเล่นเครื่องเล่นแต่ละรอบก็ยังใช้เวลาไม่กี่นาที



          ส่วนห้างสรรพสินค้าหลังยกเลิกเคอร์ฟิวจะเปิดปิดตามเวลาปกติหรือไม่ เนื่องจากยังติดประกาศคลายล็อกเฟส 3 ที่เฟส 4 ยังไม่มีการกำหนดเรื่องเวลา พญ.พรรณพิมลกล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องถามความชัดเจนจาก ศบค.อีกครั้ง ที่มีการระบุเรื่องเวลาไว้ในประกาศคลายล็อกเฟส 3 ที่กำหนดให้เปิดถึง 21.00 น. ถือว่าออกมาเป็นกฎหมายลูกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเฟส 4 ยังไม่มีการปลดล็อกตรงนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าต้องรอทางกฎหมายออกมาก่อนหรือไม่ ก็คงต้องถามความชัดเจนจาก ศบค.



         เมื่อถามถึงกรณีอาหารบุฟเฟต์ พญ.พรรณพิมลกล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการทุกคนเห็นตรงกันว่ายังไม่อนุญาตให้ตักอาหารเอง คนตักคือพนักงานเท่านั้น ก็ไม่ปนเปื้อนเรื่องช้อนกลาง แม้แต่ห้างสรรพสินค้าที่มีบุฟเฟต์ก็ปรับวิธีแบบนี้หมดแล้ว เพราะรู้สึกว่าปลอดภัย จัดการง่ายกว่า ผู้ประกอบการไม่อยากมีความเสี่ยงที่จะเดินกลับไปสู่การถูกปิดกิจการ ซึ่งตอนนี้เราอาจเปลี่ยนอะไรจากวิถีเดิมบ้าง แต่วิถีใหม่นี้ก็จะมีความปลอดภัย



รอครม.อนุมัติ มาตราการกระตุ้น ท่องเที่ยวไทย พรุ่งนี้



          ระหว่างรอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เคาะมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวไทย “เที่ยวปันสุข” ในวันที่ 16 มิ.ย.นี้  ต้องติดตามมาตรการที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กระทรวงการคลัง และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ได้หารือกันก่อนหน้านี้ และเปิดเผยให้คนไทยได้ทราบในเบื้องต้น



1.1 แพ็คเกจ “กำลังใจ” : สำหรับตอบแทนบุคลากรแนวหน้าในการรับมือโควิด-19 ให้สิทธิ์แก่เจ้าหน้าที่ อสม. เจ้าหน้าที่ รพ.สต. รวม 1.2 ล้านคน เที่ยวฟรีผ่านบริษัทนำเที่ยว 2 วัน 1 คืน ใช้งบ 2,400 ล้านบาท หรือราว 2,000 บาทต่อคน



1.2 แพ็คเกจ “เราไปเที่ยวกัน” สำหรับบุคคลทั่วไป โดยรัฐบาลจะช่วยจ่ายค่าโรงแรม ร้อยละ 40 ต่อคืน แต่สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน 1.3 แพ็คเกจ “เที่ยวปันสุข”  เพื่อช่วยเหลือสายการบินต้นทุนต่ำ รถเช่า โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ ร้อยละ 40



2.ส่วนลดที่พักร้อยละ 40 แจกเงินเที่ยว วันละ 600 บาท



สำหรับแพ็คเกจที่คุ้มที่สุด คือ แพ็คเกจ “เราไปเที่ยวกัน” โดยประชาชนจะต้องเข้าไปเลือกซื้อ อี-เวาเชอร์ หรือบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผู้ประกอบการนำมาขาย ซึ่งในส่วนของห้องพักจะกำหนดไว้ที่ 5 ล้านห้อง และราคาที่โรงแรมนำมาเสนอขายจะต้องลดลงร้อยละ 50 โดยรัฐบาลเชื่อว่าแพ็คเกจนี้จะได้รับความสนใจมาก เพราะเป็นแพ็คเกจที่คุ้มค่าที่สุด 3 ประการ ได้แก่



-ค่าห้องที่โรงแรมนำมาขายในแพ็คเกจ “เราไปเที่ยวกัน” ลดราคาลงร้อยละ 50 จากปกติ



-ในราคาห้องพักที่ลดแล้วนั้น รัฐยังจ่ายค่าห้องให้ร้อยละ40 (แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน) แปลว่าประชาชนจ่ายเองเพียง ร้อยละ60



-และประชาชนจะได้รับเงินอีก 600 บาทต่อคืน เพื่อนำไปใช้จ่ายทั้งในโรงแรมและนอกโรงแรมอีกด้วย (สูงสุดไม่เกิน 5 วัน) ถ้าจองพัก 5 คืนก็ได้รับ “แจกเงินเที่ยว” สูงสุดถึง 3,000 บาท



3.ตั๋วเครื่องบินราคาถูก รัฐช่วยจ่าย ร้อยละ 40



         ในเบื้องต้นสายการบินต้นทุนต่ำ เสนอราคาตั๋วบินในประเทศไป-กลับ ราคาถูกสุดคุ้ม อยู่ที่ 2,500 บาท ในราคานี้หากผู้เดินทางที่เข้าไปจองผ่านแพ็คเกจ “เที่ยวปันสุข” จะจ่ายเพียงร้อยละ 60 และรัฐช่วยจ่ายที่เหลืออีกร้อยละ40 แต่ไม่เกิน 1,000 บาท 



กระทรวงดิจิทัลฯ เผยยอดผู้ใช้ ‘ไทยชนะกว่า 26 ล้านคน

          ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 14 มิ.ย. 2563 เวลา 21.00 น. จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 26,871,479 คน โดยผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ (Web Based) 26,668,582  คน ผ่านแอปฯไทยชนะ (Application) 202,897 คน มีการดาวน์โหลดแอปฯไทยชนะ  308,447 คน และเช็คอิน ผ่านแพลตฟอร์ม 100,943,999  ครั้ง ผ่านแอปฯ 1,434,483  ครั้ง รวม  102,378,482  ครั้ง



          โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ย้ำความเชื่อมั่นกับประชาชนว่า แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” เป็นการพัฒนาโดยรัฐบาลไทย ที่คำนึงถึงความปลอดภัยและคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวของประชาชน เชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ สามารถดำเนินต่อไปได้ โดยควบคุมไม่ให้แต่ละสถานประกอบการมีผู้ใช้บริการมีคนหนาแน่นเกินไป จนเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อประชาชน หากพบความเสี่ยงระบบจะแจ้งเตือน และนำข้อมูลไปเป็นหลักฐานในการรับการตรวจคัดกรองทางห้องปฏิบัติการฟรี



5ผู้ต้องหาข่มขืนเด็กอายุ 12 ปี ปฎิเสธทุกข้อหา อ้างเด็กสติไม่ดี



          คดี น.ส.เอ(นามสมมุติ) ชาว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี พาน้องสาว อายุ 12 ปี เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.กรณีน้องสาวถูกกลุ่มเครือญาติรวม 7 คนล่วงละเมิดทางเพศมานานกว่า 2 ปี ล่าสุดวันนี้พ.ต.อ.มาโนชญ์ จิตรภักดี รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาโดยอ้างว่าเด็กหญิงสติไม่ดี และขอให้การในชั้นศาล หลังการแถลงข่าวจะนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ไปฝากขังต่อศาลจังหวัดสุพรรณบุรี

ข่าวทั้งหมด

X