คณะนักระบาดวิทยาชั้นนำของสหรัฐฯ วิเคราะห์สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในสหรัฐฯ จะเลวร้ายยิ่งขึ้นหลังหลายรัฐเริ่มเปิดเมืองและโรงเรียนกลับมาทำการเรียนการสอน ศาสตราจารย์จางจั้วเฟิง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา และรองคณบดีฝ่ายวิจัยด้านสาธารณสุข มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในนครลอสแอนเจลิส ระบุว่ามี 3 ปัจจัยหลัก ที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
-ประการแรกคือการรวมตัวขนาดใหญ่ทั่วประเทศเพื่อประท้วงกรณีนายจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันผิวสี ที่เสียชีวิตระหว่างถูกตำรวจจับกุมตัว การสัมผัสใกล้ชิดกัน ทำให้เสี่ยงต่อการแพร่กระจายไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างรวดเร็ว
-นอกจากนั้น การกลับมาดำเนินธุรกิจต่างๆ อีกครั้งในทุกรัฐ ซึ่งอาจเพิ่มการรวมตัวและความเป็นไปได้ในการติดเชื้อกลายเป็นประเด็นที่สอง
-ส่วนประการสุดท้ายคือโรงเรียนกลับมาเปิดการเรียนการสอนในห้องเรียนตามปกติ ซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งการติดเชื้อระลอกใหม่
ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ ระบุว่าขณะนี้ ยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ได้รับการยืนยันผลในสหรัฐฯ อยู่ที่ 2,094,069 คน และผู้ป่วยเสียชีวิตมากกว่า 115,732ราย ขณะที่หลายรัฐอย่างเท็กซัส ฟลอริดา และแคลิฟอร์เนีย พบผู้ป่วยใหม่รายวันสูงสุดตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ราว 1.24-1.4 แสนรายภายในวันที่ 4 ก.ค. นี้ โดยรัฐแอริโซนา อาร์คันซอ ฮาวาย นอร์ธแคโรไลนา ยูทาห์ และเวอร์มอนต์ อาจพบผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม
ด้านแบบจำลองผลกระทบจากโรคโควิด-19 ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวัดและประเมินสุขภาพ (IHME) ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ยังปรับการคาดการณ์ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เป็นเกือบ 1.7 แสนรายภายในวันที่ 1 ต.ค. นี้ด้วย ยังไม่นับการเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตรายใหม่ในแต่ละวันของสหรัฐฯอาจจะพุ่งขึ้นสูงมากในเดือนกันยายน
รายงานระบุว่ายอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายสัปดาห์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งหนึ่งของรัฐทั้งหมด โดยมีเพียง 16 รัฐและเขตปกครองพิเศษโคลัมเบีย ที่ยอดผู้ป่วยโดยรวมลดลงติดต่อกันสองสัปดาห์ ส่งผลทำให้อีกหลายรัฐอาจต้องกลับมาบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เข้มงวดอีกครั้ง หากยอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ’อย่างกะทันหัน’