ราคาน้ำมันขยับลงแรง หลังซาอุฯ จะเพิ่มการผลิตน้ำมัน
หลังจากที่ประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 9,700,000 บาร์เรล/วัน ออกไปจนถึงเดือนก.ค.จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ ในเดือนมิ.ย.ซาอุดีอาระเบีย,คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้ให้สัญญาที่จะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มอีก 1,180,000 บาร์เรล/วัน นอกเหนือจากข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 9,700,000 บาร์เรล/วันของโอเปกพลัส โดยซาอุดีอาระเบีย ลดกำลังการผลิตมากถึง 1,000,000 บาร์เรล/วัน
เจ้าชายอับดูลาซิส บิน ซัลมาน รัฐมนตรีพลังงานซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า ในเดือน ก.ค. ซาอุดีอาระเบียจะเพิ่มการผลิตน้ำมันเพื่อให้สอดคล้องกับโควตาการผลิตน้ำมัน หลังจากที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบีย สมัครใจปรับลดกำลังการผลิตเกินกว่าที่ตกลงกันไว้ จนทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียต่ำกว่าโควตาที่ได้รับอนุญาตให้ผลิต
ความเคลื่อนไหวสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือ ไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 1.36 ดอลลาร์ ปิดที่ 38.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 1.50 ปิดที่ 40.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งแรง คาดหมายว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว หลังจากประเทศต่างๆเริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์ ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 461.46 จุด หรือร้อยละ1.70 ปิดที่ 27,572.44 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 38.46 จุด หรือร้อยละ 1.20 ปิดที่ 3,232.39 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 110.66 จุด หรือร้อยละ 1.13 ปิดที่ 9,924.75 จุด นายแซม สโตวอลล์ หัวหน้ายุทธศาสตร์การลงทุนของสถาบันวิจัยซีเอฟอาร์เอในนิวยอร์ก สหรัฐฯ กล่าวว่า มีมุมมองในแง่บวกเกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจทั่วโลก ในส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะมีการฟื้นตัวในรูปตัว V ช่วงไตรมาส 2
ราคาทองคำ ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ทองคำตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 22.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,705.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์
มาตรการล็อกดาวน์ ช่วยทำให้คนไม่เสียชีวิตกว่า 3,000,000 คน 11 ประเทศในยุโรป
จากการวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์ อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน พบว่า มาตรการล็อกดาวน์ เช่น คำสั่งให้อยู่แต่ในบ้าน ได้ผลดีในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
จากข้อมูลการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสของศูนย์ควบคุมแห่งยุโรปใน 11 ประเทศจนถึงวันที่ 4 พ.ค. เปรียบเทียบกับตัวเลขข้อมูลของประเทศอื่นๆโดยประเมินจากรูปแบบใหม่ว่า หากไม่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์แล้ว จะพบว่าผู้ป่วย 3,100,000 คน จะเสียชีวิตหากไม่มีการใช้มาตรการเข้มข้นดังกล่าว
สำหรับ 11 ประเทศในยุโรป ได้แก่ เยอรมนี, ฝรั่งเศส, อิตาลี, อังกฤษ, สเปน, เบลเยียม, ออสเตรีย, เดนมาร์ก, นอร์เวย์, สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์
CR:Euronews
ปากีสถาน ขาดแคลนเตียง รักษาผู้ป่วยโควิดกว่า100,000 คน
ปากีสถานมีประชากรกว่า 210 ล้านคน พบผู้ติดเชื้อแล้ว 103,671 คน เสียชีวิต 2,067 ราย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีรายงานว่า เฉพาะที่เมืองลาฮอร์ ที่เดียว อาจมีผู้ป่วยติดเชื้อมากเกือบ 700,000 คน ประกอบกับ แพทย์หลายคนในโรงพยาบาลหลักของเมืองลาฮอร์เมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ บอกว่า โรงพยาบาลกำลังขาดแคลนเตียงรักษาผู้ป่วย และเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นๆ
ส่วนที่เมืองการาจี ทางตอนใต้ของประเทศ ศูนย์กลางสาธารณสุข ปฎิเสธไม่รับผู้ป่วย โดยมีป้ายขนาดใหญ่เขียนไว้บริเวณทางเข้าหน้าโรงพยาบาลว่า ไม่มีเตียงรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด-19อีกแล้ว
นายกรัฐมนตรีอิมราน ข่าน ของปากีสถาน แถลงว่า ช่วงปลายเดือน ก.ค.สถานการณ์จะเข้าสู่จุดสูงสุดของการแพร่ระบาด ขณะที่ทั่วโลก เริ่มลดลง
ยอดโควิด-19 ในอิหร่านพุ่ง ย้ำประชาชนสวมหน้ากากอนามัย
โฆษกกระทรวงสาธารณสุขอิหร่าน แถลงว่า ผู้ป่วยใหม่เพิ่มอีก 2,043 คน ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสม 173,832 คน เสียชีวิตเพิ่มอีก 70 ราย รวมเป็น 8,351 ราย ทางการแถลงว่า ยอดผู้ป่วยรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นเพราะมีการตรวจหาเชื้อเพิ่มขึ้น ไม่ใช่สถานการณ์การระบาดแย่ลง ประชาชนทุกคนจะต้องหน้าสวมกากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ เช่น ร้านค้า หรือสถานที่ที่ไม่สามารถรักษาระยะห่างทางสังคมได้ ส่วนสถานการณ์การระบาดในจังหวัดส่วนใหญ่ ทรงตัว มีเพียงจังหวัดคูเซสถาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ ที่ยังต้องเตือนภัยสูงสุดในระดับสีแดง และอีก 8 จังหวัดจากทั้งหมด 31 จังหวัดที่ยังต้องเฝ้าระวัง จังหวัดที่มีความเสี่ยงขอให้เอาจริงเอาจังและใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้น ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็น
อิหร่าน พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 กลุ่มแรกที่เมืองกอม เมื่อเดือนก.พ. ก่อนระบาดอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดในตะวันออกกลาง ทางการใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาด และเริ่มผ่อนคลายตั้งแต่เดือนเม.ย. ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่กลับมาเพิ่มขึ้นอีก
รวบชายขับเก๋งชนม็อบหยียดผิวในซีแอตเทิล
ตำรวจเมืองซีแอตเทิล สหรัฐฯ เปิดเผยว่า มีคลิปวิดีโอ เผยแพร่เหตุการณ์ชายคนหนึ่งขับรถยนต์สีดำพุ่งเข้าชนกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเพื่อต่อต้านการเหยียดผิว เนื่องจากการเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันผิวสีวัย 46 ปี ที่ถูกตำรวจผิวขาวเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ใช้เข่ากดคอกับพื้นจนเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 พ.ค.จนกลายเป็นการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้คนผิวสี และความรุนแรงทั้งเผาทำลายและปล้นร้านค้าในหลายเมืองของสหรัฐฯ
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้ชุมนุมรุมเข้ามาจะทำร้ายคนขับรถ ทำให้ชายคนขับรถใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้ชุมนุม ทำให้ชายหนุ่มอายุราว 20 ปี ถูกยิงที่แขน ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงช่วยนำส่งโรงพยาบาล อาการทรงตัว ส่วนชายมือปืน ยอมออกมาจากรถและยอมมอบตัวกับตำรวจ
ตร.ผิวขาวที่ใช้เข่ากดคอ “ฟลอยด์” ขึ้นศาลนัดแรก
นายเดเรก ชอวิน วัย 44 ปี ในชุดนักโทษสีส้ม ขึ้นศาลเป็นครั้งแรก ตามข้อกล่าวหาฆาตกรรมนายฟลอยด์ จุดชนวนการประท้วงบานปลายทั่วสหรัฐฯ นายชอวิน ถูกตั้งข้อหาฆ่าโดยเจตนาแต่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุทำให้ถึงแก่ความตาย และฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา ผู้พิพากษาจีนนิซ เรดดิง แห่งศาลแขวงเฮนเนพิน เคาน์ตี้ กำหนดวงเงินประกันแบบมีเงื่อนไข 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 31.38 ล้านบาท และ 1.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 39.23 ล้านบาท สำหรับการประกันแบบไม่มีเงื่อนไข พร้อมกับกำหนดวันสำหรับการพิจารณาคดีนัดถัดไปในวันที่ 29 มิ.ย. เงื่อนไขของการประกันตัวกำหนดให้นายชอวิน ต้องคืนอาวุธ ไม่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายหรือความมั่นคงไม่ว่าหน้าที่ใดๆ ต้องยินยอมไม่เดินทางออกนอกรัฐและไม่ติดต่อกับคนในครอบครัวของนายฟลอยด์ นายแมตธิว แฟรงค์ อัยการรัฐ ร้องขอให้ตั้งวงเงินประกันสูง เนื่องจาก นายชอวิน ถูกตั้งข้อกล่าวหารุนแรง
ส่วนเจ้าหน้าที่เมืองมินนีแอโพลิส คนอื่นๆอีก 3 คนที่อยู่กับนายชอวิน ตอนที่มีการจับกุมนายฟลอยด์ ถูกตั้งข้อหามีส่วนช่วยและส่งเสริมการฆาตกรรม ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำท้องถิ่น วงเงินประกัน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่อาจลดลงเหลือไม่น้อยกว่า 750,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 23.58 ล้านบาท