เข้าสู่ฤดูฝนแล้วสำหรับประเทศไทย แต่ยังมีสิ่งที่ต้องกังวลคือปริมาณน้ำไหลหลากและภาวะฝนทิ้งช่วง นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนต่อเนื่องจนถึงต้นเดือนกรกฎาคม จะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ทำให้ต้องผันน้ำจากเขื่อนเข้าสนับสนุนการอุปโภคและบริโภค หลังจากนั้นฝนจะกลับมาตกอีกครั้งในช่วงเดือนกรกฎาคมต่อเนื่องถึงสิงหาคม ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงที่พายุฤดูฝนจะพัดเข้ามาในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน ประมาณ 1-2 ลูก จากนั้นในช่วงกลางเดือนตุลาคมฤดูฝนจะสิ้นสุดลง สำหรับภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกและภาคกลาง จากนั้นฝนจะเคลื่อนตัวจะลงสู่ภาคใต้
จากการประเมิน พบว่า ปีนี้แม้ว่าฝนจะตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 5 แต่ยังถือว่ามากกว่าปีที่แล้ว ประมาณร้อยละ7-10 หากเทียบจากเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ที่มีฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยมากถึงร้อยละ15 รวมทั้งยังได้หยิบยกสถานการณ์ฝนตกเมื่อปีพ.ศ.2538 มาใช้เป็นฐานบริหารจัดการน้ำ คาดว่า จะมีพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ จากพายุที่พัดเข้ามา เช่น จังหวัดน่าน
“ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงกลางกันยายน พื้นที่ภาคตะวันออกบางจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและตอนบน รวมถึงลุ่มน้ำบริเวณจังหวัดน่าน จะได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกลงมา จากนั้นปลายกันยายน-ต้นตุลาคม ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างจะได้รับผลกระทบต่อ ซึ่งกรมชลประทานได้แจ้งไปยังพื้นที่สุ่มเสี่ยงให้เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือล่วงหน้าเลย ไม่ต้องรอให้เกิดปัญหา เพื่อให้ประชาชนอุ่นใจ”
ด้านการจัดเก็บผักตบชวา ที่เป็นปัญหากีดขวางทางน้ำไหล เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝน นายทองเปลว กล่าวว่า ขณะนี้ได้จัดเก็บผักตบชวาไปแล้วร้อยละ 50 หรือ 1.25 ล้านตัน จากทั้งหมด 2.5 ล้านตัน คาดว่า ภายใน 1 เดือนจะสามารถเก็บผักตบชวาในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้ครบทั้งหมดและภายในเดือนกรกฎาคมเก็บได้ครบทุกพื้นที่
ทั้งนี้ระยะทางของแม่น้ำทั่วประเทศไทยมีประมาณ 520,000 กิโลเมตร ซึ่งกรมชลประทานดูแลประมาณร้อยละ 9.9 หรือ ประมาณ 50,000 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางน้ำจะเชื่อมต่อกัน ดังนั้น สามารถเก็บผักตบได้ทุกที่และทุกจุด