ฝ่ายปกครองหลายเมืองในสหรัฐฯ ต้องประกาศเคอร์ฟิวเพื่อยับยั้งเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจการทำหน้าที่ของตำรวจจนทำให้มีชายผิวสีเสียชีวิตอีกครั้ง แต่ปรากฏว่า ยังมีเหตุปล้นร้านค้า เผารถยนต์ โจมตีอาคารหลายหลัง และตำรวจปราบจลาจลต้องยิงแก๊สน้ำตา และกระสุนยาง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เรียกร้องให้มี “การรักษาเยียวยาไม่ใช่ความเกลียดชัง, ความยุติธรรมไม่ใช่การสร้างความวุ่นวาย” (healing not hatred, justice not chaos) ต่อความตายของนายจอร์จ ฟลอยด์ อายุ 46 ปี แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้การก่อเหตุรุนแรงดำเนินต่อไปได้
สำหรับนายเดเรก ชอวิน วัย 44 ปีอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ต้องหาฐานฆ่าโดยไม่เจตนามีกำหนดปรากฏตัวต่อศาลในวันจันทร์ แต่ประชาชนจำนวนมากยังมีความโกรธแค้น เมื่อมีความเชื่อมโยงคดีของนายฟลอยด์ ในมินนีแอโพลิส กับการเสียชีวิตของนายไมเคิล บราวน์ ในเฟอร์กูสัน, นายอีริค การ์เนอร์ ในนิวยอร์กและชายผิวสีคนอื่น ๆ ที่เสียชีวิตในระหว่างที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวโดยที่พวกเขาไม่มีอาวุธ ทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม และการแบ่งแยกภายในสังคมอเมริกัน
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม มีการประท้วงเกิดขึ้นเป็นระยะ แล้วลุกลามเป็นการประท้วงใหญ่ตั้งแต่คืนวันศุกร์ และเกิดขึ้นในเมืองอย่างน้อย 30 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ หนึ่งในเมืองที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดคือ ลอสแองเจลิส นายกาวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเมืองและอนุญาตให้กองกำลังพิทักษ์ชาติเข้าแทรกแซงเหตุการณ์ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินในประเทศ โดยร้านที่ถูกปล้นยังมีร้านค้าปลีกชื่อดัง Melrose และ Fairfax
นายอีริก การ์เซ็ตติ นายกเทศมนตรีลอสแองเจลิส กล่าวว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอนับตั้งแต่เหตุจลาจลในปี 2535
ส่วนที่นิวยอร์ก มีรถตำรวจ 20 คันถูกวางเพลิง และมีการจับกุมผู้ประท้วงหลายคน นายบิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้เป็นผู้ที่ทำให้สถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น แต่นางอเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ-คอร์เตซ สมาชิกสภาคองเกรส กล่าวว่า คำกล่าวของนายกเทศมนตรี ไม่เป็นที่ยอมรับและเขาไม่ควรแก้ตัวให้เจ้าหน้าที่
แต่ท่ามกลางความโกรธแค้นไม่พอใจ ยังมีบางพื้นที่ที่มีการแสดงออกถึงความสามัคคี โดยที่เมืองฟลินท์ รัฐมิชิแกน นายอำเภอคริส สเวนสัน ซึ่งเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ประท้วง เขาถอดหมวก และวางอาวุธลง จากนั้นก็ถามผู้ประท้วงโดยตรงว่าพวกเขาต้องการอะไร เมื่อผู้ประท้วงบอกว่าต้องการให้เดินไปด้วยกัน กลุ่มเจ้าหน้าที่ก็ทำเช่นนั้น และทำให้สถานการณ์ลดความรุนแรงลงได้
....