นายกรัฐมนตรี ย้ำรัฐบาลมีวินัยการคลัง-จำเป็นต้องใช้พ.ร.ก.กู้เงินฟื้นฟูเศรษฐกิจ รับมือกับโควิด-19

27 พฤษภาคม 2563, 15:03น.


           การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันนี้เพื่อพิจารณาพระราชกำหนดกู้เงิน 3 ฉบับ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึง เหตุผลในการนำเสนอพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินทั้ง 3 ฉบับ วงเงินไม่เกิน 1.9 ล้านล้านบาท ต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาถึงความจำเป็นในการเข้าไปช่วยเหลือและดูแลระบบเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้เกิดความเสียหายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ทางการแพทย์ยังไม่มียารักษาและวัคซีนป้องกันส่งผลกระทบไปทั่วโลก



           ดังนั้นในส่วนของไทยจึงต้องมีมาตรการรับมือและแก้ปัญหา ทั้งด้านสุขภาพของประชาชนและด้านเศรษฐกิจที่ต้องพบกับภาวะชะงักอย่างฉับพลันและการหดตัวลงของเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปรับตัวลดลงติดลบร้อยละ 1.8 ถือเป็นการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจไทย นับตั้งแต่ไตรมาส 1/2557 และส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัวลงตั้งแต่กลางเดือนม.ค.63 และยังทำให้รายได้ประเทศลดลงถึง 9.28 แสนล้านบาท มีคนว่างงาน อาจถึงนับล้านคน ซึ่งสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 63 อาจติดลบร้อยละ5.0 ถึงร้อยละ 6.0 ได้ ส่งผลให้รัฐบาลต้องดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดที่เข้มงวด และต้องดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทุกมิติ



          การดำเนินการทั้งหมดไม่สามารถใช้กลไกใช้จ่ายงบประมาณตามปกติได้ จึงต้องมีแนวทางกู้เงินนำมาแก้ไขปัญหาดูแลผลกระทบ ดำเนินการด้านสาธารณสุข และสร้างความเชื่อมั่นให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ในอนาคต ให้ภาคธุรกิจของไทยฟื้นตัวและขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็วหลังการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง  



         นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลได้ตระหนักถึงวินัยการคลังจึงกำหนดหลักการดำเนินการที่สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สำหรับแนวทางกู้เงินจะพิจารณาแหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นหลักและต่างประเทศเป็นสำรอง ซึ่งการชำระหนี้ กระทรวงการคลัง ได้กำหนดแผนไว้ และรัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ รวมถึงได้ตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ มาพิจารณาแผนการใช้เงินกู้ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่า เหมาะสม ซึ่งมีขั้นตอนการปฏิบัติการใช้จ่ายที่จะดูแลให้ดีที่สุด โดยหวังว่าสภาผู้แทนราษฎรจะอนุมัติเพื่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศต่อไป



          สำหรับ พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับ จะไม่กระทบกับหนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เมื่อสิ้นเดือนก.ย. 64 จะอยู่ที่ร้อยละ 57.96 รวมทั้งให้ความมั่นใจถึงมาตรการกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณที่โปร่งใส ถึงมือประชาชนทุกกลุ่ม และเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านสาธารณสุขของประเทศ การดูแลประชาชน ตลอดจนการดูแลความเข้มเข็งภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ



          สำหรับ พ.ร.ก. กู้เงินทั้ง 3 ฉบับ ประกอบด้วย



-พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 วงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการจัดทำแผนงานด้านสาธารณสุขและแผนงานเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ วงเงิน 6 แสนล้านบาท ได้แก่ เยียวยาประชาชน 6 เดือน, เยียวยาเกษตรกร และดูแลด้านสาธารณสุขและแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 4 แสนล้านบาท ครอบคลุมโครงการดูแลสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ทั้งสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจชุมชน และสนับสนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระดับพื้นที่



-พ.ร.ก.ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท เพื่อให้สถาบันการเงินให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคิดดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินร้อยละ0.01 ต่อปี และให้ยื่นคำขอกู้ยืมเงินภายใน 6 เดือน



-และ พ.ร.ก.รักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ.2563 วงเงินไม่เกิน 4 แสนล้านบาท ด้วยการตั้งกองทุนรวม Corporate Bond Liquidity Stabilization Fund หรือ BSF และให้ ธปท.ซื้อขายหน่วยลงทุนในกองทุนดังกล่าว

ข่าวทั้งหมด

X