ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี 63 ในวันนี้ (19 พ.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ตามที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพนม ศรศิลป์ อายุ 61 ปี (อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ), นายบุญเลิศ โสภา อายุ 54 ปี (อดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศ. จ.ลำปาง), นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร อายุ 51 ปี (อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา), นายแก้ว ชิดตะขบ อายุ 54 ปี (อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา), นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี อายุ 50 ปี (อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา) เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ, ทำ, จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารฯ ทำการรับรองหลักฐานเป็นเท็จ, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 147, 157, 162 ประกอบมาตรา 83, 86 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1
โดยพฤติการณ์ความผิดแห่งคดีนั้น พวกจำเลย ได้เบียดบังเอาเงินงบประมาณ ของสำนักงาน พศ.ไปเป็นประโยชน์ของตน โดยใช้วัดในพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดรับโอนเงินงบประมาณโดยมีสำนักงาน พศ.เป็น ผู้เสียหาย โดยอัยการโจทก์ขอให้นับโทษจำเลยทั้งห้าต่อจากโทษในคดีอื่นๆ ด้วย
จำเลยทั้งห้า ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ระหว่างพิจารณาคดี นายพนม จำเลยที่ 1 และกลุ่มลูกน้อง ในสำนักงาน พศ.จำเลยที่ 2 - 5 ไม่ได้ประกันตัว ถูกคุมขังในเรือนจำ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 - 4 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 147, 157, 162 (4) ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 123/1 ประกอบมาตรา 83
พิพากษาจำคุกฐานเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่จัดการทรัพย์ได้เบียดบังทรัพย์นั้นไปโดยมิชอบฯ ซึ่งเป็นโทษบทหนักสุดรวม 2 กระทง โดยกระทงแรกจำคุกคนละ 14 ปีและกระทงที่ 2 อีกคนละ 6 ปี รวมจำคุกคนละ 20 ปี
ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 - 4 ไว้คนละ 13 ปี 4 เดือน และให้ร่วมกันคืนหรือใช้เงิน จำนวน 21,007,235 บาท แก่สำนักงาน พศ.ผู้เสียหายด้วย และให้นับโทษของนายพนม จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.253/2561, อท.254/2561, อท.257/2561 ของศาลอาญาคดีทุจริตฯ นี้ด้วย
ส่วน นายบุญเลิศ จำเลยที่ 2, นางพรเพ็ญ จำเลยที่ 3, นายแก้ว จำเลยที่ 4 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561 ของศาลนี้ด้วย
สำหรับนายพัฒนา จำเลยที่ 5 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่จัดการทรัพย์ได้เบียดบังทรัพย์นั้นไปโดยมิชอบฯ จำคุก 4 ปี และให้ทั้งห้าคนชดใช้เงินคืนให้สำนักงาน พศ.ผู้เสียหายด้วย และให้นับโทษของจำเลยที่ 5 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.2557/2561 เช่นกัน
วันเดียวกันนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ยังได้มีคำพิพากษา คดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณ พศ.สำนวนที่ 5 ด้วยคดีหมายเลขดำ อท.43/2562 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพนม, นายชยพล พงษ์สีดา อายุ 64 ปี (อดีตรอง ผอ.พศ.), นายณรงค์เดช ชัยเนตร (อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา), นายพัฒนา (อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา) เป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ, ทำ, จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม ป.อ.มาตรา 147, 157 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1
ชั้นพิจารณา นายพนม, นายชยพล, นายพัฒนา จำเลยที่ 1, 2, 4 ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี
ส่วนนายณรงค์เดช จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ ซึ่งระหว่างพิจารณาจำเลยทั้งสี่คนไม่ได้รับการประกันตัว
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนแล้ว พิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่คนมีความผิดตามฟ้อง ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ฯ ตาม ป.อ.มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด จำคุกคนละ 6 ปี
ทั้งนี้ ตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1, 2, 4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1, 2, 4 ไว้คนละ 4 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกไว้เป็นเวลา 3 ปี และให้จำเลยทั้งสี่คนร่วมกันคืนเงิน 2 ล้านบาทให้แก่สำนักงาน พศ.เสียหายด้วย
และให้นับโทษของ นายพนม จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.253/2561, อท.254/2561, อท.25 7/2561, อท.32/2562 ของศาลอาญาคดีทุจริตฯ นี้ด้วย
ส่วน นายชยพล จำเลยที่ 2, นายณรงค์เดช จำเลยที่ 3, นายพัฒนา จำเลยที่ 4 ก็ให้นับโทษต่อจากคดีหมายเลขดำ อท.257/2561 ด้วย
....