รัฐมนตรีเศรษฐกิจญี่ปุ่น กังวลการระบาดรอบ 2

          สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ในประเทศญี่ปุ่น ประจำวันที่ 17 พฤษภาคม 2563 พบว่า

-มีผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่น 16,310 คน (เพิ่มขึ้น 57 คนจากวันก่อนหน้า)  เสียชีวิต 748 ราย (เพิ่มขึ้น 19 รายจากวันก่อนหน้า) รายละเอียดตามเอกสารแนบ

-จังหวัดที่มีการติดเชื้อมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่

-กรุงโตเกียว 5,050 คน

-จังหวัดโอซากา 1,770 คน

-จังหวัดคานากาวะ 1,261 คน

-จังหวัดฮอกไกโด 1,006 คน

-จังหวัดไซตามะ 981 คน

          โดยเฉพาะที่ กรุงโตเกียว เมื่อวันเสาร์ที่ 16 พ.ค. 2563 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14 คน เป็นจำนวนต่ำกว่า 100 คนติดต่อกันเป็นวันที่ 14 และจำนวนต่ำกว่า 50 คน ติดต่อกันเป็นวันที่ 11 โดยจำนวน 8 คน เป็นผู้ที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อรายก่อนหน้า และจำนวน 6 คน ไม่ทราบเส้นทางการติดเชื้อ  อัตราการติดเชื้อต่อประชากร 1 แสนคน ของวันที่ 15 พฤษภาคม อยู่ที่ร้อยละ 3.3 (เกณฑ์การยกเลิกต้องต่ำกว่าร้อยละ 0.5)

          สำหรับ จังหวัดอื่นที่พบการติดเชื้อสูง ได้แก่ จังหวัดคานากาวะ เพิ่มขึ้น 12 คน โดยเป็นผู้ติดเชื้อจากเมืองโยโกฮามะ 8 คน จังหวัดชิบะ 8 คน จังหวัดฮอกไกโด 7 คน และจังหวัดไซตามะ 5 คน

          นายนิชิมูระ ยาสุโคชิ รัฐมนตรีดูแลการฟื้นฟูเศรษฐกิจกังวลใจที่ประชาชนเริ่มปฏิบัติตัวผ่อนคลายลง หลังจากที่ได้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใน 39 จังหวัดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม และขอให้ทุกคนระวังการระบาดระลอก 2 เหมือนเกาหลีใต้และเยอรมนี โดยเฉพาะ 8 จังหวัดที่ยังไม่ได้ยกเลิกประกาศฉุกเฉินนั้น หากยังคงมีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น รัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มงวดและอาจจำเป็นต้องยืดระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป

         ด้านนาย ซูซุกิ นาโอมิชิ  ผู้ว่าราชการจังหวัดฮอกไกโด ขอให้ประชาชนในเมืองซัปโปโรอยู่บ้านและไม่ให้คนจากเมืองอื่นเดินทางเข้าไปเมืองซัปโปโร  จังหวัดฮอกไกโดเป็นพี้นที่แห่งเดียวในญี่ปุ่นที่กำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 และจำเป็นต้องตั้งมาตรการเพื่อแบ่งเบาภาระการทำงานของระบบการแพทย์ก่อนที่อาจจะเกิดการระบาดระลอกที่ 3

           ด้านการสำรวจความเห็นแพทย์ของสหภาพแรงงานเซนโกกุ อิชิ ซึ่งเผยแพร่ผลการสำรวจทางเว็บไซต์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พบว่า เกือบร้อยละ 70 ของแพทย์ที่ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นไม่สามารถดูแลสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้อย่างเหมาะสม ผลการสำรวจยังพบว่า แพทย์ร้อยละ 31 ต้องนำหน้ากากอนามัยแบบเอ็น95  กลับมาใช้ใหม่ บางคนใช้หน้ากากอนามัยอยู่แค่ชิ้นเดียวไม่ได้เปลี่ยนใหม่เลย แพทย์รายหนึ่งกล่าวว่า ใช้หน้ากากอันเดิมจนกระทั้งสายรัดขาดและใช้ต่อไม่ได้