ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
แรงงานต่างด้าวในห้องกัก‘ตม.สะเดา’ ติด‘โควิด-19’เพิ่ม 2 คน
สถานการณ์โควิด-19 จากการเฝ้าระวังตรวจซ้ำกลุ่มเสี่ยงชาวต่างชาติที่ลักลอบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย มีรายงานว่า ในช่วงเช้าของวันนี้ (8 พฤษภาคม 2563) พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 2 คน โดยเป็นหญิงชาวโรฮิงญา 1 คน และชาวเมียนมา 1 คน ซึ่งแพทย์ได้แยกตัวจากกลุ่มไม่พบเชื้อรักษาตัวในโรงพยาบาลสนามศูนย์กักตัว ตม.สะเดา พร้อมตรวจสารคัดหลั่งอีกรอบสำหรับผู้ไม่ติดเชื้อ และจะดูแลผู้ที่ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด
ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 7 พฤษภาคม พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 3 คน โดยเป็นชาวโรฮิงญา 2 คน และชาวเมียนมา 1 คน
พม.เตรียมเสนอครม. เยียวยากลุ่มคนเปราะบาง ครอบครัวตกงานเพราะโควิด-19 รับเงิน 2,000 บาท
มาตรการเยียวยาประชาชน เพิ่มเติม นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. เปิดเผยว่า การเยียวยาประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้ได้รับสิทธิในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด, ผู้รับเบี้ยยังชีพสูงวัย, ผู้รับเบี้ยคนพิการว่า กระทรวงฯ ร่วมมือกับเอ็นจีโอและภาคประชาชนสำรวจประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้ตกงานที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและทางอ้อม ที่ไม่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม และกระทรวงแรงงานได้เตรียมสรุปยอดภายในวันที่ 10 พ.ค.2563 ก่อนจะเสนอที่ประชุมร่วมกระทรวงมหาดไทย ในวันที่ 15 พ.ค.2563 และมั่นใจว่าประชาชนได้รับความเดือดร้อนจริง ที่สำคัญคือห้ามให้การช่วยเหลือซ้ำซ้อน
เบื้องต้น แนวทางเยียวยากลุ่มคนเปราะบางมี 2 ส่วน คือ
1.หากเข้าเกณฑ์ของกระทรวงฯ อาทิ ขาดรายได้ ตกงาน จะได้เงินสงเคราะห์ครอบครัวละ 2,000 บาท ส่วนคนที่มีรายได้แต่ได้รับความเดือดร้อน อย่างครอบครัวพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ขาดเครื่องอุปโภคและบริโภคและทุนทรัพย์ก็จะช่วยสิ่งของตามความต้องการให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้
และ 2.หากเข้าเกณฑ์ขององค์กรอื่นๆ เช่น กองทุนคนพิการ เงินช่วยเหลือด้านการศึกษา นมผง ก็ช่วยเหลือตามภารกิจ
นอกจากนี้ ในวันนี้ได้เปิดกิจกรรม Kick Off โครงการ ครัวกลาง พม. เราไม่ทิ้งกัน เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายและประชาชนในชุมชนที่ขาดแคลนอาหารในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยได้รับบริจาควัตถุดิบในการประกอบอาหาร ได้แก่ ข้าวสาร ผักสด และเนื้อไก่สด รวมทั้งข้าวกล่อง จากภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ประชาสังคม และประชาชน พร้อมส่งต่อให้กับครัวกลาง พม.ทั้ง 38 จุด ในพื้นที่ กทม.
ศธ.เคาะมติเปิด-ปิดเทอมใหม่
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกาศเลื่อนวันเปิดเทอมภาคเรียนที่ 1 ของโรงเรียนประถมและมัธยม เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 โดยไม่มีการปิดเทอมภาคเรียนที่ 1 แต่จะมีการปิดเทอมภาคเรียนที่ 2 จำนวน 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 เพื่อที่จะสามารถเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2564 ได้ตามปกติ
ล่าสุด นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงเรื่องการแจ้งเวลาการเปิด-ปิด ภาคเรียน ปีการศึกษา 2563 ใหม่ ระบุว่า จากแถลงการณ์ในครั้งที่ 2 ในประเด็นเรื่องการเพิ่มเวลาพัก ครั้งนี้มีการขยายผลเพิ่มเติมที่ผมขอนำมาอัปเดต โดยแบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 2 เทอม แต่ละเทอมมีเวลาพักในเทอมที่ 1/2563 จำนวน 17 วัน และในภาคเรียนที่ 2/2563 จำนวน 37 วัน รวมทั้งสิ้น 54 วัน ถึงแม้เราจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ แต่ก็ให้ความสำคัญกับการที่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาได้มีเวลาพักเพื่อผ่อนคลายได้ไม่มากก็น้อย
ท่ามกลางความท้าทายของการจัดการเรียนการสอนในช่วงสถานการณ์โควิด -19 ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นนั้น ขอให้ทุกท่านสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อที่จะผ่านทุกอุปสรรค เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับการศึกษาไทยครับ
ส่งผลทำให้การเปิดเทอม-และปิดเทอม ในปีการศึกษา 2563 เป็นดังนี้
ภาคเรียนที่ 1 เปิดเรียน 1 กรกฎาคม 2563 - 13 พฤศจิกายน 2563
ปิดเทอม 14 - 30 พฤศจิกายน 2563 (รวม 17 วัน)
ภาคเรียนที่ 2 เปิดเรียน 1 ธันวาคม 2563 - 9 เมษายน 2564
ปิดเทอม 10 เมษายน - 16 พฤษภาคม 2564 (รวม 37 วัน)
ยังไม่อนุญาตให้ออกกอง! วธ.เตือนกองถ่ายหนังละคร-โฆษณาแหกกฎพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับให้ทุกกระทรวงจัดทำแผนฟื้นฟูภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กำลังเตรียมมาตรการผ่อนปรนอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่อนุญาตให้คลายล็อก แต่ก็ได้มีข้อมูลรายงานว่า เริ่มมีกองถ่ายภาพยนตร์ ละคร และโฆษณา ออกไปถ่ายทำตามพื้นที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งมีทั้งชาวไทยและกองจากต่างชาติ จึงขอให้ทุกฝ่ายรอมาตรการผ่อนปรนที่วธ.จะเสนอให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พิจารณาในสัปดาห์หน้าก่อน พร้อมเตือนไปยังกองถ่ายต่างๆ ว่า หากยังไม่มีมาตรการผ่อนคลายออกมาอย่างเป็นทางการ แต่มีการออกกองโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเป็นการดำเนินกิจกรรมที่มีการรวมพล
นอกจากนั้น จะมีประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ ให้ตรวจตราการดำเนินการใดๆ ที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะต้องทำอย่างจริงจังให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน หากมีความผิดก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย อีกทั้งขอให้ประชาชนที่พบเห็นการฝ่าฝืนแจ้งยังสายด่วนวัฒนธรรม 1765 ด้วย
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย.ต่ำสุดในรอบเกือบ 22 ปี
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค คาดว่า เศรษฐกิจจะติดลบ 3 ไตรมาสติดต่อกัน และจะเริ่มเป็นบวกไตรมาส 4 ประมาณบวกร้อยละ 1-2 จากการรีสตาร์ทของภาคธุรกิจและ มาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ 400,000 ล้านบาท ที่จะเริ่มเห็นเม็ดเงินในระบบชัดเจนในช่วงต้นเดือนสิงหาคม และจะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2563 ติดลบน้อยลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะติดลบ ร้อยละ 8.8 เป็นติดลบร้อยละ 3.5-5.5 และหากมีการปลดล็อกภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ จะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น เกือบ 200,000 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้เศรษฐกิจไทยหยุดทรุดตัว หรือฟื้นจากจุดต่ำสุด โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นจนเห็นได้ชัดประมาณไตรมาส 2 ปี 2564
สำหรับผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายน 2563 พบว่าปรับตัวลดลงทุกรายการ โดยส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ทำการสำรวจในรอบ 21 ปี 7 เดือน นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2541 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตโควิด-19 ที่ระบาดอย่างหนักทั่วโลก ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างมากในปัจจุบันและอนาคต ตลอดจนผู้บริโภคห่วงใยเกี่ยวกับภาวะว่างงานสูง
หุ้นไทยปิดบวก 8.04 จุด ตอบรับหุ้นในเอเชียบวก หลังสหรัฐฯ-จีน ตกลงกันได้
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 8.04 จุด ที่ 1,266.02 จุด มูลค่าซื้อขายรวม 44,086.49 ล้านบาท โดยดัชนีดีดกลับ (rebound) ตามตลาดหุ้นในภูมิภาค จากความคาดหวังเชิงบวกต่อกระแสการกลับมาเปิดเมือง (Reopening)
นอกจากนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่มีท่าทีอ่อนลง หลังผู้แทนทางการค้าของทั้ง 2 ประเทศหารือกันผ่านทางโทรศัพท์ ที่สามารถทำตามความร่วมมือทางการค้าระยะแรกตามที่ตกลงกันได้ ทำให้วันนี้หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจโลกปิดบวกหนุนดัชนี
ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และคลายความวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังจากเจ้าหน้าที่การค้าระดับสูงของสองประเทศหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกันทางโทรศัพท์ในวันนี้ ดัชนีนิกเกอิปิดพุ่งขึ้น 504.32 จุด ที่ 20,179.09 จุด
ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดฮ่องกงปิดวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับทิศทางของตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาคเนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานข่าวที่ว่า เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐฯ ได้หารือกันทางโทรศัพท์ในวันนี้ โดยทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นที่จะร่วมมือกันสนับสนุนเศรษฐกิจและการค้าดัชนีฮั่งเส็งเพิ่มขึ้น 249.54 จุด ปิดวันนี้ที่ 24,230.17 จุด
แคนาดา ปรับค่าจ้าง บุคลากรทางการแพทย์
นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด แห่งแคนาดา เปิดเผยว่า มีข้อตกลงร่วมกับ 10 รัฐของประเทศในการขึ้นค่าจ้างแรงงานให้กับพนักงานในกลุ่มซึ่งทำหน้าที่ดูแลผู้อื่น อาทิ พนักงานในบ้านพักของผู้สูงอายุ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการที่แคนาดามีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวนเกือบร้อยละ 80 คือผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องอยู่ในสถานดูแล นายกรัฐมนตรีแคนาดา กล่าวว่า พนักงานเหล่านี้มีการทำงานที่เสี่ยงต่อสุขภาพของตนเอง จึงสมควรได้รับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยรัฐบาลกลาง จะสนับสนุนเงินช่วยเหลือจำนวน 3,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา ( 69,000 ล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 75 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของค่าแรงที่เพิ่มขึ้น
แคนาดามีผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อจำนวน 23,895 คน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 4,280 ราย โดยควิเบกรัฐที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดได้ออกประกาศให้ธุรกิจต่างๆ ทยอยกลับมาดำเนินงานตั้งแต่เมื่อวันพุธ (6 พ.ค.) แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ คือการขาดแคลนบุคลากรในโรงพยาบาล จึงมีข้อเสนอเรื่องการขึ้นค่าแรงให้กับบุคลากรทางการแพทย์และการโน้มน้าวให้ทำงานนอกเวลา แต่ก็ยังมีการทักท้วงว่าแคนาดาผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคเร็วเกินไป เพราะแม้ว่าโควิด-19 จะทำให้มีผู้ว่างงานมากถึง 5,000,000 ตำแหน่ง แต่หากสถานการณ์ของโรคระบาดใหญ่กลับมารุนแรง จะสร้างความเสียหายร้ายแรงกว่าเดิม