ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในอังกฤษ พุ่งแซงขึ้นเป็นอันดับ2ของโลก
สถานการณ์ผู้เสียชีวิตโรคโควิด-19 ในอังกฤษ น่าเป็นห่วงมากขึ้น เนื่องจากตัวเลขผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลไวรัสโคโรนาของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ในสหรัฐฯ ระบุเมื่อเวลา 05.26 น.ว่ายอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในอังกฤษอยู่ที่ 29,502 ราย ติดเชื้อสะสม 196,239 คน เพิ่มแรงกดดันให้กับนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ในการแก้ปัญหา หลังจากป่วยติดโรคโควิด-19 และเพ่งกลับมาทำงาน พรรคฝ่ายค้านตั้งคำถามเรื่องที่เขาชะลอการตัดสินใจปิดเมือง ตรวจหาเชื้อ พร้อมทั้งจัดหาชุดอุปกรณ์ป้องกันให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ล่าช้า กระทรวงสาธารณสุข แถลงจำนวนผู้เสียชีวิตของบุุคคลที่มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวกตามโรงพยาบาลต่างๆ ก่อนที่เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายน จะมีการนับรวมผู้เสียชีวิตตามบ้านพักคนชราและชุมชนต่างๆ
ผู้โดยสารบนเครื่องบิน แชร์ภาพคนแน่นขนัด ไม่เว้นระยะห่าง
ผู้โดยสารที่เดินทางด้วยสายการบินเออร์ลิงกัส แชร์ภาพเที่ยวบินแน่นขนัดไปด้วยผู้โดยสารเดินทางจากเบลฟาสต์มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานฮีทโธรว์ในกรุงลอนดอน ของอังกฤษ ไม่มีการจัดที่นั่งเว้นระยะห่างระหว่างผู้โดยสาร แม้รัฐบาลได้วางกรอบแนวทางปฏิบัติไว้อย่างเข้มงวดแล้วก็ตาม หนึ่งในผู้โดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุบีบีซีว่ามีผู้โดยสารบนเครื่องบินราวร้อยละ 95 ของที่นั่งทั้งหมด ทำให้สายการบินเออร์ลิงกัส ประกาศว่าจะตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว และยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติให้มีความเหมาะสมทันทีหากมีความจำเป็น เนื่องจาก เรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารและลูกเรือเออร์ลิงกัสเป็นเรื่องสำคัญ แกรนต์ ชาปป์ส รัฐมนตรีคมนาคม เตือนว่า ชาวต่างชาติที่เดินทางมาที่อังกฤษ จะต้องเข้าสู่มาตรการกักกันโรคโควิด-19 เป็นเวลา 14 วัน
หลายประเทศในยุโรป ผ่อนคลายมาตรการ หลังมีแนวโน้มดีขึ้น
ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ประชาชนอิตาลีเริ่มกลับมาทำงาน ดำเนินชีวิตตามปกติ หลังปิดเมือง ปิดประเทศไปร่วม 2 เดือน ขณะที่มีการผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดต่างๆ ร้านเหล้า ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านพิซซ่า เปิดให้บริการได้อีกครั้งแต่เฉพาะนำกลับไปรับประทานที่บ้านหรือให้จัดส่งเท่านั้น นอกจากนี้ ประชาชนยังต้องสวมหน้ากากอนามัยภายในสถานที่ปิด รวมทั้งการใช้บริการขนส่งสาธารณะ
ที่เยอรมนี ร้านตัดผมเริ่มกลับมาให้บริการตามปกติ แต่ทั้งช่างตัดผมและผู้ที่มาใช้บริการต้องสวมหน้ากากอนามัย มีการฆ่าเชื้อทำความสะอาดหวีและกรรไกรตัดผมทุกครั้งก่อนตัดผมให้ลูกค้าแต่ละคน ขณะที่ รัฐบาลทยอยผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดต่างๆ เช่น เปิดสนามเด็กเล่น การประกอบศาสนกิจที่โบสถ์ เปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งสวนสัตว์
ฝรั่งเศส เตรียมผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดหลายอย่างช่วงปลายเดือนนี้ เนื่องจากวันที่ 11 พฤษภาคมนี้ จะถึงกำหนดที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาว่าจะดำเนินมาตรการอย่างไรต่อไป เบื้องต้น นายกรัฐมนตรีเอดัวร์ ฟิลิปป์ ของฝรั่งเศส ขอให้ประชาชนทำงานที่บ้านไปก่อน เพื่อจำกัดการใช้บริการขนส่งสาธารณะ ขณะที่ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะในฝรั่งเศสขอกำลังตำรวจช่วยควบคุมผู้โดยสารที่จะมาใช้บริการเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน มีรายงานว่า ฝรั่งเศส อาจจะผ่อนคลายการล็อกดาวน์เริ่มเปิดเรียน ให้ประชาชนออกมาทำงาน ออกไปข้างนอกได้ โดยไม่ต้องมีหนังสือรับรอง และจะมีมาตรการขอให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องใช้บริการขนส่งสาธารณะด้วย
ศุกร์นี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ เริ่มคลายล็อกดาวน์
นายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ประกาศว่า ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย จะเข้าสู่ขั้นที่ 2 ของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
-อนุญาตให้ธุรกิจค้าปลีกบางส่วนกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง ภายใต้การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขบางอย่าง เช่น ร้านค้าปลีกออนไลน์ ที่ให้ลูกค้ามารับของที่ร้านได้
-ร้านขายเสื้อผ้า ร้านดอกไม้ ร้านหนังสือ และร้านสินค้ากีฬา เปิดได้ในวันศุกร์นี้
ขณะที่ ขั้นตอนที่ 3 จะค่อย ๆ เปิดกิจการที่มีสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงบางส่วน ด้วยการปรับปรุงและจำกัดจำนวนคนที่มารวมตัวกัน และขั้นตอนที่ 4 จะยุติคำสั่งกักตัวอยู่ที่บ้าน
เศรษฐกิจ อินโดฯ โตเพียง 2.97% ต่ำสุดในรอบ 19 ปี
สำนักงานสถิติแห่งชาติของอินโดนีเซีย รายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ( จีดีพี ) ไตรมาสแรกของปีนี้ ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.97 เป็นสถิติต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2544 และลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 4.97 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของอินโดนีเซียได้รับผลกระทบมากที่สุด สถิตินักท่องเที่ยวจากต่างประเทศตลอด 3 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวนเพียง 2.6 ล้านคน ลดลง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว รัฐบาลอินโดนีเซีย ระงับการเดินทางภายในประเทศด้วยเรือ เครื่องบิน และรถไฟ ถึงวันที่ 1 มิ.ย. เพื่อลดการรวมตัวกันของประชาชน ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่กรุงจาการ์ตา จะใช้มาตรการล็อกดาวน์ถึงกลางเดือนนี้
มาเลเซีย ลดดอกเบี้ยต่ำสุดในรอบ 11 ปี สู้โควิด-19
คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางมาเลเซีย ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายข้ามคืนลงร้อยละ 0.50 เหลือร้อยละ 2.00 ตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ และเป็นการลดครั้งที่สามของปีนี้ ธนาคารกลาง แถลงว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกอ่อนแอลงอย่างมาก มาตรการควบคุมที่ใช้อย่างกว้างขวางทั่วโลก การปิดพรมแดนระหว่างประเทศ ล้วนกระทบต่อเศรษฐกิจมาเลเซีย นักเศรษฐศาสตร์ คาดว่า ธนาคารกลางอาจต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก หากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวแม้ยกเลิกมาตรการปิดเมืองไปแล้ว นายกรัฐมนตรีมูยิดดินห์ ยาสซิน กล่าวว่า มาตรการปิดเมืองทำให้เศรษฐกิจเสียหาย 63,000 ล้านริงกิต หรือราว 473,988 ล้านบาท รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯหวังบรรเทาผลกระทบ เช่น มาตรการการทางภาษี และ การให้เงินสด เป็นต้น
CR:BBC