ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 12.30 น. ประจำวันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563
หมอยง เผย ยังต้องรอ ยาต้านไวรัส Remdesivir รักษาโควิด-19
การพัฒนายาและวัคซีน เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เรื่อง ยาต้านไวรัสรักษาโควิด-19 “ยาเรมเดซิเวียร์” ว่า ยาต้านไวรัสรักษาโควิด-19 Remdesivir ยานี้เป็นยาใหม่ ที่ยังไม่ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในการรักษาโรค เคยมีการมารักษาโรคปอดบวมตะวันออกกลาง ยาจะไปขัดขวางการเพิ่มจำนวน RNA ของไวรัส
ยานี้เป็นยาของบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการศึกษานำมาใช้รักษาโควิด-19 ที่มีการเผยแพร่ครั้งแรกในประเทศจีน แต่การศึกษายังไม่สมบูรณ์เพราะผู้ป่วยน้อยลง และได้มีการเผยแพร่ผลของการรักษา แบบเปรียบเทียบกับยาหลอกจำนวน 237 คน ในผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ผลการรักษาไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ ระหว่าง Remdesivir กับยาหลอก
จากการศึกษาเพิ่งออกมาใหม่ ที่ทำในหลายประเทศ โดยมีผู้วิจัยหลักอยู่ในสหรัฐอเมริกา ทำการศึกษาเปรียบเทียบการให้ยา Remdesivir กับยาหลอกในผู้ที่ติดเชื้อโควิด -19 และมีอาการหนัก ในจำนวน 1,063 คน พบว่าผู้ป่วยหายเร็วขึ้น และลดอัตราการตายจากร้อยละ 11.6 ลงเหลือ ร้อยละ 8 ผู้ป่วยที่หายสามารถกลับบ้านได้เร็วกว่า ยานี้ต้องรอขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการ และเป็นยาที่ใช้สำหรับฉีดเข้าเส้น ไม่ใช่ยารับประทาน
ข้อมูลต่างๆ ที่ยังเป็นความหวัง สำหรับผู้ติดเชื้อและมีอาการหนัก ยานี้ยังไม่มีใช้ในประเทศไทย ยังคงต้องรอและจะมีข้อมูลออกมาอย่างต่อเนื่องแน่นอน ถ้าเราสามารถรักษาผู้ป่วยลดอัตราการเสียชีวิต ลดอัตราการ เป็นปอดบวมได้ ความวิตกกังวลต่างๆก็จะน้อยลง
กรมท่าอากาศยาน วางมาตรการเข้มรับการเดินทางหลังสายการบินกลับให้บริการอีกครั้ง
หลังหลายสายการบินได้กลับมาให้บริการอีกครั้ง นายทวี เกศิสำอาง อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (อทย.) กล่าวว่าตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 สายการบินได้ขอกลับมาให้บริการในเส้นทางบินภายในประเทศแก่ผู้โดยสารที่มีความจำเป็นในการเดินทาง จำนวน 4 สายการบิน ได้แก่ สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และสายการบินไทยเวียตเจ็ท เปิดให้บริการ ณ ท่าอากาศยานของกรมท่าอากาศยาน จำนวน 14 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานลำปาง แม่สอด พิษณุโลก บุรีรัมย์ สกลนคร นครพนม ร้อยเอ็ด ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และกระบี่ ทั้งนี้ ทย. พร้อมให้บริการผู้โดยสาร ตามแนวทางปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางการบินในประเทศในระหว่างสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) ในประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ซึ่งมีข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องให้ผู้ดำเนินการสนามบินดำเนินการ ดังนี้
1. ทำการคัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการท่าอากาศยานจะต้องสวมหน้ากากอนามัยและผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย หากผู้บุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตาม หรือวัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส ทางท่าอากาศยานและสายการบินจะปฏิเสธการให้บริการและเดินทางโดยเครื่องบินได้
2. ต้องปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เช่น จุดรับรอรับกระเป๋าสัมภาระ จุดตรวจบัตรโดยสาร (Check – in counter) ที่นั่งรอก่อนการเดินทาง โดยให้มีระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร
สำหรับในส่วนของ ทย. ได้เตรียมความพร้อมให้บริการเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ดังนี้
1. ผู้โดยสารขาเข้าทุกคนจะต้องดำเนินการกรอกแบบสำรวจการเดินทาง (ต.8 คค.) หรือแบบฟอร์มของสาธารณสุขจังหวัด ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเก็บข้อมูลในการเดินทาง
2. ดำเนินการติดแผ่นใสกั้นบริเวณเคาน์เตอร์ระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของท่าอากาศยาน สายการบิน กับผู้โดยสาร เพื่อเว้นระยะห่าง
3. จัดเจ้าหน้าที่พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารก่อนจุดรับกระเป๋าทุกเที่ยวบิน
4. เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ได้แก่ หน้ากากอนามัย ถุงมือ อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าและดวงตา (Face shield) เพื่อเลี่ยงการสัมผัสกับผู้โดยสาร
5. ตั้งจุดบริการเจล แอลกอฮอล์ล้างมือตามจุดต่าง ๆ
6. อนุญาตให้ขายอาหารภายในท่าอากาศยานได้ แต่ไม่ให้มีการนั่งรับประทานภายในร้าน และการกำหนดจุดยืนรอรับอาหารโดยให้มีระยะห่างตามที่กำหนด
7. จัดเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดโดยใช้แอลกอฮอล์และน้ำยาฆ่าเชื้อ ในบริเวณพื้นอาคาร ห้องน้ำ รถเข็น เก้าอี้ที่พักผู้โดยสาร ราวบันได ลิฟต์โดยสาร และอุปกรณ์สำหรับให้บริการ และอุปกรณ์ของเจ้าหน้าที่ตามจุดต่าง ๆ ทุกชั่วโมงหรือหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทุกเที่ยวบิน และจะทำการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในอาคารที่พักผู้โดยสาร ทุกสัปดาห์
8. มีการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น จอประชาสัมพันธ์ภายในอาคาร ตั้งป้ายประชาสัมพันธ์มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 หรือแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ ให้ผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่ทราบ
9. จัดเจ้าหน้าที่เพื่อให้คำแนะนำให้กับผู้โดยสาร ประจำทุกจุด
สำหรับผู้โดยสารที่ประสงค์จะเดินทางในเส้นทางต่าง ๆ ขอให้สอบถามข้อมูลการเดินทางโดยตรงกับสายการบินก่อนการเดินทางทุกครั้ง และขอให้มั่นใจว่า ทย. มีความพร้อมในการให้บริการผู้โดยสาร และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความดูแลของ ทย. ให้ปลอดภัยจากเชื้อโควิด – 19 ควบคู่มาตรฐานการบิน
ภูเก็ต เปิดด่านให้ประชาชนกลับภูมิลำเนาล็อตแรก 5,000 คน
ที่บริเวณด่านตรวจคัดกรอง บ้านท่านุ่น หมู่ที่ 7 ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ซึ่งเป็นรอยต่อติดกับจังหวัดภูเก็ต ได้มีรถยนต์ จักรยานยนต์ จำนวนมาก ทะลักออกมาจากจังหวัดภูเก็ต หลังจากจังหวัดภูเก็ต ได้เปิดให้ลงทะเบียนผู้ที่มีภูมิลำเนา อยู่ต่างจังหวัด เมื่อวันที่ 29 เม.ย.63 อนุญาตให้ออกเดินทางได้ ในวันนี้จำนวน 5,000 คนเป็นล็อตแรก
สำหรับประชาชนที่มีภูมิลำเนาต่างจังหวัดจะต้องผ่านการตรวจคัดกรอง ที่บริเวณด่านท่าฉัตรไชยโดยจะมีสติ๊กเกอร์ติดหน้ารถด้านซ้าย ทั้งหมดจำนวน 4 สี สีชมพูหมายถึงประชาชนที่เดินทางกลับเข้าในพื้นที่จังหวัดพังงา สีเหลือง ผู้ที่เดินทางไปยังเส้นทางกระบี่ซึ่งต้องผ่านด่านคัดกรองที่อำเภอทับปุด สีเขียว ผู้ที่เดินทางไปยังจังหวัดระนองซึ่งต้องผ่านด่านคัดกรองที่อำเภอคุระบุรี และสีน้ำเงิน ผู้ที่จะเดินทางไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานีต้องผ่านด่านคัดกรองที่ตำบลรมณีย์อำเภอกะปง ซึ่งทั้ง 4 สี ได้ครอบคลุมพื้นที่รอยต่อของจังหวัดพังงาทั้งหมด และทางเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการคัดกรองอย่างเข้มงวด
นายบัญชา ธนูอินทร์ นายอำเภอตะกั่วทุ่ง กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตได้ประสานกันระดับจังหวัดเรื่องการปล่อยให้คนที่ไม่มีภูมิลำเนาในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตที่ประสงค์จะกลับภูมิลำเนา วันนี้ทางด้านด่านตรวจคัดกรองที่บ้านท่านุ่นก็ได้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครอง ฝ่ายตำรวจทหาร อสม. มาช่วยกันคัดกรอง ซึ่งหลักๆแล้ว ผู้ที่มีสติ๊กเกอร์สีชมพูจะต้องมาทำประวัติ และผ่านมาตรการการตรวจคัดกรองจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ก่อนถึงจะปล่อยกลับไปยังภูมิลำเนาในแต่ละอำเภอในพื้นที่ของจังหวัดพังงา แล้วก็จะมีการกักตัว 14 วันตามมาตรการ ส่วนสติ๊กเกอร์สีเหลือง สีเขียวและสีน้ำเงินนั้นจะต้องยื่นเอกสารต่อเจ้าหน้าที่พร้อมบัตรประชาชนตัวจริง และให้เจ้าหน้าที่เซ็นรับรองเพื่อที่จะผ่านจุดทดลองติดต่อไป
โหลดแอปฯหมอชนะ ลงทะเบียนเดินทางทั่วไทย
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ได้เผยแพร่ข้อความ สำหรับ การเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น หลังการผ่อนปรนมาตรการหลายด้าน ให้ช่วยกัน ป้องกันโรคโควิด-19 ด้วยเก็บข้อมูลการเดินทางผ่าน แอปหมอชนะ ที่จะทำหน้าที่ช่วยเก็บข้อมูลการเดินทางด้วยการเช็กอินสถานที่ ที่ไหน อย่างไร ใกล้ชิดใครบ้าง
เมื่อเจ็บป่วย หรือไปสถานที่ใดแพทย์และผู้ประกอบการสามารถดูรายงานจากแอปด้วยค่าคะแนนสี ลดเสี่ยงปกป้องตัวเองและผู้อื่นได้
แจ้งเตือนทันที เมื่อพบผู้ป่วยรายใหม่ หรือไปอยู่บริเวณที่มีความเสี่ยง
อย่ารอโหลดเลย
iOS คลิก http://https://apps.apple.com/th/app/allthaialert/id1505185420
Android คลิก https://play.google.com/store/apps/details…
ผู้ประท้วงอเมริกันพกปืนบุกอาคารรัฐสภารัฐมิชิแกนค้านมาตรการล็อกดาวน์
หลังนางเกร็ตเชน วิตเมอร์ ผู้ว่าการรัฐมิชิแกน สหรัฐฯ ประกาศเมื่อต้นเดือนนี้ให้ขยายมาตรการล็อกดาวน์ ให้ประชาชนอยู่บ้านต่อไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่รัฐสภาของรัฐมิชิแกน ไม่เห็นด้วย และมีการเปิดประชุมสภาเพื่อหารือเรื่องนี้ ส่งผลทำให้มีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงคัดค้านมาตรการบุกอาคารรัฐสภาท้องถิ่น ตำรวจในรัฐมิชิแกน เปิดเผยว่า ผู้ประท้วงหลายร้อยคนจากกลุ่มที่เรียกว่ามิชิแกน ยูไนเต็ด ฟอร์ ลิเบอร์ตี บางคนพกปืน เพื่อคัดค้านมาตรการล็อกดาวน์
กลุ่มผู้ประท้วงขอให้รัฐบาลท้องถิ่นเปิดเมืองในวันนี้(1 พ.ค.) หลายคนไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่ทำตามกฎเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม ก่อนหน้านี้ ตำรวจที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในอาคารรัฐสภาได้ตรวจวัดไข้ ก่อนอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในอาคารรัฐสภา ทั้งนี้ การพกปืนในสถานที่สาธารณะ เช่น อาคารรัฐสภา ของผู้มีใบอนุญาตซื้อ เป็นเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมายของท้องถิ่น หลายคนจึงถือปืนโดยเปิดเผยที่บริเวณระเบียงหน้าห้องประชุมสภา พยายามจะเข้าไปในห้องประชุม แต่ตำรวจสภาขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าไปในห้องประชุมสภาเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง ด้านสว.หญิงคนหนึ่งเปิดเผยว่า สว.หลายคนสวมเสื้อเกราะกันกระสุนด้วย
สหรัฐฯมีผู้ป่วยสะสม 1,069,664 คน เสียชีวิต 62,996 ราย ส่วนใหญ่ในรัฐนิวยอร์กและรัฐมิชิแกน
ตร.ฮ่องกง เตรียมรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมในวันแรงงาน
ตำรวจฮ่องกงเปิดเผยว่า ได้เตรียมพร้อมรับมือกับการประท้วงที่เรียกว่า แฟล็ชม็อบ ของกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งจะจัดขึ้นพร้อมๆกันในหลายท้องที่ของฮ่องกงในช่วงเที่ยงวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น นับเป็นการท้าทายคำสั่งของรัฐบาลเรื่องการห้ามชุมนุมในที่สาธารณะเกิน 4 คน ทั้งนี้ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่แกนนำกลุ่มผู้ประท้วงให้คำมั่นว่าพวกเขาจะทำตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม โดยการจัดให้ผู้ประท้วงรวมกลุ่มเล็กๆไม่เกิน 4 คน แต่ละคนยืนห่างกัน 1.5 เมตร
ก่อนหน้านี้ มีการประท้วงในฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว ในหลายๆครั้งมีการใช้ความรุนแรง เช่น ปิดสนามบินและบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา ทำลายภาพลักษณ์ของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชียที่มีความมั่นคง ประชาชนแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากขึ้น แต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่รัฐบาลประกาศใช้ตลอด 4 เดือน ทำให้สถานการณ์การประท้วงสงบลงเรื่อยมา
แต่การประท้วงกลุ่มเล็กๆเริ่มกลับมาอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยแกนนำผู้ประท้วงหวังจะใช้โอกาสวันแรงงานในวันนี้ ระดมประชาชนให้กลับมาร่วมประท้วงใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยปกติมีการประท้วงทั่วโลกในโอกาสวันแรงงานสากลเช่นนี้ แต่ปีนี้เอเอฟพี คาดว่าบรรยากาศการจัดงานจะเงียบเหงากว่าทุกปีเนื่องจากวิกฤตโรคโควิด-19 ระบาดในปัจจุบัน ทั้งนี้ ฮ่องกงมีผู้ป่วยสะสม 1,037 คน เสียชีวิต 4 ราย