ทันสถานการณ์โลก 06.30น.ประจำวันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
สวิตเซอร์แลนด์ ผ่อนคลายมาตรการให้ เด็ก ๆกอดปู่ย่า-ตายาย ได้แล้ว
สถานการณ์โควิด-19 ในสวิตเซอร์แลนด์ ที่เริ่มลดความรุนแรงลงทำให้ทางการเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ และให้โรงเรียน ร้านค้ากลับมาดำเนินธุรกิจได้ นายดาเนียล โคช หัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อ ของกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบไม่ได้เป็นผู้แพร่เชื้อโควิด-19 จึงมีการแก้ไขคำแนะนำอย่างเป็นทางการเพื่อให้เด็กเล็กสามารถกอดปู่ย่าตายายของพวกเขาได้ ซึ่งการที่ผู้สูงอายุได้ใกล้ชิดกับลูกหลานเป็นเวลาสั้น ๆ ยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของพวกเขา
นายโคช ระบุว่า เด็กไม่ใช่คนที่มีความเสี่ยงต่อผู้สูงอายุ แต่เป็นพ่อแม่ของเด็ก ที่มีการเดินทาง และติดต่อกับผู้อื่น ทั้งย้ำว่า เด็กที่มีอายุมากกว่า 10 ขวบยังต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุอีกระยะ
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญหลายคน ไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข โดยระบุว่ามีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะกล่าวสรุปได้ว่าเด็กเล็กไม่สามารถแพร่เชื้อไวรัสได้ และยังมีความเป็นไปได้ที่เด็กจะเป็นฝ่ายติดเชื้อ
แพทย์ประจำทำเนียบขาวสหรัฐฯ ให้ความมั่นใจประสิทธิภาพยาต้านโควิด-19
นพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐฯออกมาย้ำว่า ความพยายาม ทดสอบยาต่อต้านไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 มีประสิทธิผลช่วยปกป้องชีวิตคนไข้ผู้มีอาการสาหัสจากการติดเชื้อโควิด-19 ยา remdesivir ส่งผลในทางบวกอย่างชัดเจนและมีนัยสำคัญ พร้อมเปรียบเทียบมันกับการค้นพบวิธีการรักษาโรคเอดส์เมื่อ 40ปีก่อน
ส่วนผลการทดลองทางคลินิกในจีน ก่อนหน้านี้ ในยาตัวเดียวกันล้มเหลวเพื่อช่วยเหลือคนไข้โควิด-19 ที่มีอาการหนัก นพ.เฟาซี บอกว่า การทดลองในจีนนั้น ผลการศึกษายังไม่พอโดยขณะนี้ อยู่ระหว่างเจรจากับ บริษัทยาของสหรัฐฯ เจ้าของตัวยา เพื่อนำมาใช้กับเคสที่มีความจำเป็นเร่งด่วน
รายงานจากนิวยอร์กไทมส์อ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล บอกว่าทางองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ อาจแถลงตัดสินใจอนุญาตให้ใช้ยา remdesivir ในกรณีฉุกเฉินอย่างเร็วที่สุด
ด้านบริษัท Gilead Sciences แถลงว่า ทางบริษัทได้รับข้อมูลที่น่าพึงพอใจในการใช้ยา remdesivir ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ผลการศึกษาการใช้ยา remdesivir ซึ่งทางบริษัทดำเนินการร่วมกับ สถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติ มีผลการรักษาเป็นไปตามเป้าหมายในเบื้องต้น ผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวนอย่างน้อย ร้อยละ 50 ที่ได้รับยา remdesivir เป็นเวลา 5 วัน มีอาการดีขึ้น และผู้ป่วยจำนวนมากกว่าร้อยละ50 ที่ได้รับยา remdesivir สามารถออกจากโรงพยาบาลภายในเวลา 2 สัปดาห์
หุ้นดาวโจนส์เพิ่มขึ้น จากความหวังเฟดเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 532.31 จุด ปิดที่ 24,633.86 จุด หลังเปิดตลาดช่วงแรกได้รับข่าวร้ายที่ เศรษฐกิจสหรัฐฯหดตัวถึงร้อยละ 4.8 ในไตรมาสแรก นับเป็นการหดตัวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 12 ปี แต่จากนั้น ได้แรงหนุนจากแนวทางตอบสนองต่อวิกฤตของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับร้อยละศูนย์ พร้อมเตือนว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ไม่ใช่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯในระยะสั้น แต่ยังเป็นความเสี่ยงในระยะกลาง
นอกจากนี้แล้วตลาดหุ้นสหรัฐฯยังได้แรงบวกจากความเห็นของ นพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐฯและทางบริษัท Gilead Sciences Inc ซึ่งบ่งชี้ว่าผลทดลองทางคลินิกของ remdesivir ยาต้านไวรัส มีประสิทธิผลช่วยปกป้องชีวิตคนไข้ผู้มีอาการสาหัสจากการติดเชื้อโควิด-19
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฉุดราคาทองคำปิดลบแรง โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 8.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,713.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนราคาน้ำมันในวันพุธ(29เม.ย.) ปิดบวกแรง หลังข้อมูลรัฐบาลสหรรัฐฯเผยให้เห็นคลังปิโตรเลียมสำรองเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาด ขณะที่กำลังผลิตภายในประเทศก็ลดลงเช่นกัน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 2.72 ดอลลาร์ ปิดที่ 15.06 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 2.08 ดอลลาร์ ปิดที่ 22.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สหราชอาณาจักร แซง สเปน เป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตอันดับ 2 ของยุโรป
ยอดผู้เสียชีวิต ในสหราชอาณาจักรขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของชาติที่มีผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19) มากที่สุดในยุโรป รองจากอิตาลี ซึ่งรวมถึงผู้เสียชีวิตในบ้านพักคนชรา
สำนักงานสาธารณสุขอังกฤษ(PHE) เปิดเผยว่าจนถึงเวลา 16.000 จีเอ็มที ของวันที่ 28 เมษายน พบผู้เสียชีวิตหลังผลตรวจโควิด-19 ออกมาเป็นบวก รวมทั้งสิ้น 26,097 ราย นั่นหมายความว่าสหราชอาณาจักร มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แซงหน้า ฝรั่งเศสและสเปน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวเลขผู้เสียชีวิตรายวันที่เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 4,419 ราย เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ทางสหราชอาณาจักร นับรวมผู้เสียชีวิตทั้งในโรงพยาบาล ตามบ้านพักคนชราและชุมชนต่างๆในวงกว้าง ตั้งแต่วิกฤตเริ่มต้นขึ้น
อิตาลี ซึ่งเป็นชาติที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ เปิดเผยในวันพุธ(29เม.ย.) ว่าพบผู้เสียชีวิตหลังมีผลตรวจโควิด-19 เพิ่มขึ้น 323 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 27,682 ราย เช่นเดียว กับสหราชอาณาจักร
สเปน รายงานพบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 453 ราย ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 24,275 ราย น้อยกว่าสหราชอาณาจักร แต่คิดเป็นสัดส่วนจาก ประชากรราวๆ 20 ล้านคน อัตราการเสียชีวิตต่อจำนวนประชากรของสเปนจึงสูงกว่า
ผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วโลก อยู่ที่ 3,187,030 คน เสียชีวิต 226,771 ราย สหรัฐฯมีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก ยอดผู้ป่วยอยู่ที่ 1,037,526 คน เสียชีวิต 60,846 ราย
อินเดียยอมให้แรงงานกลับบ้านได้
กระทรวงกิจการภายในของอินเดีย ออกประกาศให้แรงงานอพยพชาวอินเดียจำนวนหลายล้านคนทั่วประเทศที่ติดค้างอยู่ในเมืองใหญ่ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม เนื่องจากมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมโควิด-19 สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ แต่จะต้องมีการตรวจคัดกรองแรงงานเหล่านี้ก่อนออกเดินทาง และเมื่อเดินทางถึงที่หมายจะต้องเข้ารับการกักตัวเพื่อสังเกตอาการ 14 วัน
แรงงานอพยพเหล่านี้ เป็นแรงงานนอกระบบที่เป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจในเมืองใหญ่ ตั้งแต่การก่อสร้าง ทำอาหาร ทำความสะอาดและส่งของ ซึ่งจะได้รับค่าจ้างเป็นรายวันและพักอาศัยอยู่ในสภาพที่ไม่ถูกสุขอนามัย การที่ธุรกิจ อุตสาหกรรมปิดตัวลงในชั่วข้ามคืนทำให้ขาดรายได้ในทันทีจึงพยายามเดินทางกลับบ้าน แต่เนื่องจากรถโดยสารและรถไฟงดให้บริการ แรงงานอพยพหลายคนจึงเดินเท้าหลายกิโลเมตรเพื่อกลับบ้าน และมีผู้เสียชีวิตระหว่างการเดินทาง
นอกจากนี้ยังมีการประท้วงครั้งใหญ่ของแรงงานอพยพในรัฐคุชราตและเมืองมุมไบ โดยเรียกร้องให้ส่งพวกเขากลับบ้าน ซึ่งขณะที่มีข้อเสนอให้ยกเลิกมาตรการปิดเมืองเพื่อให้แรงงานเหล่านี้มีงานและมีรายได้ แต่ก็มีคำเตือนว่า การที่ไม่มีการวางแผนที่ดีทำให้ประชาชนที่ยากจนที่สุด และอ่อนแอที่สุดในประเทศยากลำบาก