ทันสถานการณ์โลก 06.30น.ประจำวันพุธที่ 29 เมษายน 2563
สหราชอาณาจักรเตือนเด็กป่วยโควิด-19 อาจมีผลกระทบต่อหลอดเลือดในสมอง
นายแมตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร กล่าวว่า มีความกังวลมากเกี่ยวกับการที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มผู้ป่วยเด็กจะมีอาการแทรกซ้อนร้ายแรงเกิดขึ้น โดยเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติของรัฐ (NHS) ออกแถลงการณ์ระบุว่า ในกลุ่มผู้ป่วยเด็กจะมีอาการแปลก ๆ รวมถึงอาการปวดท้องและการอักเสบรอบ ๆ หัวใจ ซึ่งทำให้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยเป็นอาการที่พบมากขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยเด็กทั้งในสหราชอาณาจักร และในสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรอาจกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในยุโรป ตามที่สำนักงานสถิติแห่งชาติเปิดเผยว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในแคว้นอังกฤษและเวลส์สูงกว่าตัวเลขการเสียชีวิตรายวันของโรงพยาบาลที่รัฐบาลเปิดเผยอยู่ประมาณร้อยละ 35 เนื่องจากพบการเสียชีวิตในชุมชน และมีการระบุในใบมรณะบัตรว่าเสียชีวิตด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ และทำให้ทางการต้องมีการปรับตัวเลขผู้เสียชีวิตใหม่
สำหรับจำนวนผู้ติดเชื้อ ของสหราชอาณาจักรมีจำนวนสะสมอยู่ที่ 162,350 คน และเสียชีวิตแล้ว 21,745 ราย
ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในสหรัฐฯ พุ่งเกิน 1,000,000คนแล้ว
มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 1,010,717 คน สูงที่สุดในโลก และเสียชีวิต 58,365 ราย มากที่สุดในโลกเช่นกัน นิวยอร์กเป็นรัฐที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดของสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตมากถึง 22,668 ราย และกว่า 17,500 ราย อยู่ในเมืองนิวยอร์กซิตี้เพียงแห่งเดียว
นายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก บอกว่า มีผู้เสียชีวิตในรัฐ 335 ราย ในช่วง 24 ชั่วโมง แม้จะลดลงแต่ยังไม่นิ่ง คาดว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของแต่ละรัฐมีปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่ผ่านการฝึกฝน เช่นเดียวกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนั้น การตรวจเชื้อจึงทำได้อย่างจำกัด รวมถึงยอดผู้เสียชีวิตที่แท้จริงก็น่าจะสูงกว่านี้เช่นกัน ด้วยเกือบทุกรัฐนับเฉพาะผู้เสียชีวิตตามโรงพยาบาลและบ้านพักคนชราเท่านั้น ไม่รวมถึงผู้ป่วยที่เสียชีวิตในบ้าน โดยในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด มีอยู่ 40% เกิดขึ้นในนิวยอร์ก รัฐซึ่งเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดในสหรัฐฯ ตามมาด้วยนิวเจอร์ซีย์, มิชิแกน และ แมสซาชูเซตส์
ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกอยู่ที่ 3,110,219 คน(เมื่อเวลา 05.50 น. วันนี้ ) โดยสหรัฐฯ ชาติที่มีประชากรมากที่สุดอันดับ 3 ของโลก มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่าชาติอื่นๆในอันดับรองๆ ลงไป อย่างเช่น อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศส ราวๆ 5 เท่า โดยสหรัฐฯพบผู้ติดเชื้อ 30 คนต่อประชากร 10,000 คน โดยสเปนครองอันดับ 1 พบผู้ติดเชื้อ 48 เคสต่อประชากร 10,000 คน ตามมาด้วยเบลเยียม, สวิตเซอร์แลนด์ และ อิตาลี
ยอดผู้ติดเชื้อในรัสเซีย วันเดียว เพิ่มขึ้นกว่า 6,000คน
รัสเซียมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ ในรอบ 24 ชั่วโมงเพิ่มขึ้นถึง 6,411 คนและเสียชีวิตเพิ่ม 72 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสม มากถึง 93,558 คนและเสียชีวิตแล้ว 867 ราย ซึ่งแม้ว่าจะทำให้รัสเซียอยู่ในอันดับที่แปด ของโลกจากจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันแล้ว แต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตจำนวนน้อยกว่า หลายประเทศที่มีผู้ป่วยจำนวนน้อยกว่า
รัสเซียมีประชากรทั้งหมด 147 ล้านคน กระจายอยู่ใน 11 โซนเวลาและ 85 ภูมิภาคซึ่งใช้มาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมโรคมา ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และจะหมดอายุในวันที่ 30 เมษายนนี้ แต่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ยังไม่ได้เปิดเผยว่าจะให้ขยายเวลาปิดเมืองต่อไปอีกหรือไม่
ฝรั่งเศสเริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์
ทางการฝรั่งเศสและสเปนจะเริ่มผ่อนปรนมาตรการปิดเมืองและการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ที่มีความเข้มงวด และมีการบังคับใช้มานานหลายสัปดาห์
หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเริ่มชะลอตัวลง รัฐบาลได้สำรวจมาตรการผ่อนคลายที่จะไม่ทำให้โควิด-19 กลับมาระบาดหนักอีกครั้ง โดยในสัปดาห์หน้าชาวอิตาเลียนจะสามารถออกกำลังกายกลางแจ้ง และเดินทางข้ามเขตพื้นที่ได้ แต่จะต้องสวมหน้ากากอนามัย งดการกอดและจับมือ
สำหรับผู้ติดเชื้อสะสม ในอิตาลี เป็นอันดับ 3 ของโลก อยู่ที่ 201,505 คน เสียชีวิต เป็นอันดับ 2 ของโลก อยู่ที่ 27,359 ราย ส่วนสเปน มีผู้ติดเชื้อ อันดับ 2 ของโลก อยู่ที่ 232,128 คน เสียชีวิตเป็นอันดับ 3 ของโลก 23,822 ราย ส่วนฝรั่งเศส มียอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเป็น อันดับ 4 อยู่ที่ 169,052 คน เสียชีวิต 23,694 ราย
สเปน เริ่มทยอยผ่อนมาตรการปลดล็อก
นายกรัฐมนตรี เปโดร ซานเชซ ของสเปน บอกว่า การยกเลิกมาตรการต่างๆ ซึ่งหยุดวิถีการใช้ชีวิตของประชาชนมาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2563 จนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม และจะมีความแตกต่างกันในแต่ละแคว้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ อย่างเช่น แนวโน้มอัตราการติดเชื้อ, จำนวนเตียงในห้องฉุกเฉินสำหรับรองรับผู้ป่วยท้องถิ่น และแคว้นนั้นๆ ปฏิบัติตามกฎระเบียบเว้นระยะห่างทางสังคมมากน้อยแค่ไหน
ร้านอาหารต่างๆ จะสามารถกลับมาเปิดบริการได้ไม่เกิน ร้อยละ 30 ยังคงแนะนำให้ทำงานจากที่บ้านเท่าที่ยังเป็นไปได้จนกว่าจะเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของแผนยกเลิกล็อกดาวน์ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้น ในช่วงใดช่วงหนึ่ง ของเดือนมิถุนายน ส่วนชายหาดต่างๆ จะสามารถกลับมาเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวได้เช่นกัน แต่ต้องอยู่ภายใต้การพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
อัตราคนว่างงาน ในช่วงไตรมาสแรกของสเปน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13.8 ของ 3 เดือนก่อนหน้านี้ สู่ระดับร้อยละ 14.4 สะท้อนให้เห็นเพียงบางส่วนของผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เริ่มต้นบังคับใช้ ตั้งแต่ช่วง 2 สัปดาห์ก่อนสิ้นสุดไตรมาส จากการคาดการณ์ของธนาคารกลางสเปน วิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจทำให้อัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ ร้อยละ21.7 ในปีนี้ ส่วนเศรษฐกิจจะหดตัวสูงสุดถึงร้อยละ12.4
คลังน้ำมันสำรองสหรัฐฯยังพุ่งสูง ส่งผลราคาน้ำมันปรับตัวลดลง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือ ไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 44 เซนต์ ปิดที่ 12.34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 47 เซนต์ ปิดที่ 20.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คาดว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐฯในสัปดาห์ที่แล้ว น่าจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 11 ล้านบาร์เรล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้น 14 สัปดาห์ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันตลาดลอนดอน ได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าอุปสงค์พลังงานโลกกำลังฟื้นตัว ด้วยรัฐบาลประเทศต่างๆ ได้แถลงผ่อนปรนข้อจำกัดต่างๆที่กำหนดออกมาเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันอังคาร(28เม.ย.) ปิดลบในกรอบแคบๆท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน จากรายงานผลประกอบการที่ผสมผสาน
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 32.23 จุด ปิดที่ 24,101.55 จุด ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดิ่งลงสู่ระดับ 86.9 ในเดือนเมษายน จากระดับ 118.8 ในเดือนมีนาคม และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ส่วนราคาทองคำในวันอังคาร(28เม.ย.) ปิดลบเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน แต่ฟื้นขึ้นจากระดับต่ำสุดในการซื้อขายระหว่างวัน หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนเมษายน โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 1.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,722.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์