ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการต่ออายุ-ขยายพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปอีก 1 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เปิดเผยว่า รัฐบาลมีความจำเป็นต้องต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปก่อนและคงเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน(เคอร์ฟิว) ในเวลา 22.00-04.00 น.อีก 1 เดือนเหมือนเดิม โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1-31 พ.ค.
นายกฯ กล่าวว่า เข้าใจดีถึงความเดือดร้อนของประชาชนและคำนึงถึงผู้มีรายได้น้อยทุกคน เพราะประชาชนลำบาก ตนเองก็ลำบาก โดยขอให้รอฟังรายละเอียดภายในสัปดาห์นี้ที่จะต้องดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาทั้งเกษตรกร,ผู้ประกอบอาชีพอิสระ,แรงงานทั้งในและนอกระบบ รวมถึงผู้พิการและกลุ่มเปราะบางด้วย ซึ่งต้องดูไปตามสัดส่วนที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ขณะเดียวกันประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการก็ต้องให้ความร่วมมือกับรัฐบาลด้วย โดยเฉพาะมาตรการทางสาธารณสุขต้องปฏิบัติอย่างเข้มงวด ซึ่งหากมีการผ่อนคลายไปแล้ว และมีการกลับมาแพร่ระบาดอีก ก็มีความจำเป็นที่จะต้องขอให้ปิด ดังนั้นขอให้ช่วยกันทำให้ดีที่สุดในระยะแรกที่จะมีการผ่อนปรน พร้อมฝากถึงสถานประกอบการต่างๆ ขอให้ใจเย็น ขณะนี้ สถานการณ์กดดันหลายอย่าง ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียว แต่ยังคงมีภูมิภาคอื่นทั่วโลกที่เดือดร้อนจากโควิด-19 ยืนยันว่างบประมาณขณะนี้มีแผนการใช้จ่าย ซึ่งอยากให้แยกด้วยว่าอะไรที่เกิดจากผลกระทบของโควิด-19 จริงๆและอะไรที่ใช้ในการบริหารส่วนอื่น มาตรการบางอย่างที่ต้องผ่อนปรนได้หรือไม่ได้ ได้มอบหมายคณะกรรมการไปศึกษาว่ากิจกรรมใดควรจะมีการผ่อนปรนบ้างและต้องพิจารณาทั้งในกรุงเทพฯและท้องถิ่น เพราะหลายจังหวัดได้มีการกำหนดมาตรการของตนเองและจะต้องมีมาตรการส่วนกลางที่เป็นนโยบายหลักโดยจะแบ่งการผ่อนปรนมาตรการออกเป็น 4 ระยะ ระยะละ 14 วัน เพื่อให้มีการประเมินว่าหากเปิดไปแล้วจะไม่กลับมาแพร่ระบาดอีก ทั้งนี้กิจกรรมส่วนใหญ่ต้องคงไว้ต่อไป
ภายหลังการประกาศผ่อนปรนกิจกรรมบางอย่างแล้ว ขอให้ประชาชนระมัดระวังการเข้าพื้นที่ที่มีคนจำนวนมากเพื่อรักษาตนเองและครอบครัวยึดมาตรฐานกลางก่อน ส่วนเรื่องการปฎิบัติของแต่ละพื้นที่ขอให้ฟังจากกระทรวงมหาดไทยและปฏิบัติตาม ขออย่าทำให้ทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดเสียเปล่า
นายกฯ ขอให้ประชาชนรับทราบว่าขณะนี้รัฐบาลไม่ได้ทำเฉพาะเรื่องโควิด-19 อย่างเดียว แต่จำเป็นต้องดูแลเรื่องเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึงเรื่องเครื่องจักร เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนประเทศไปด้วย ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณปกติประจำปี 2563 และเตรียมแผนการใช้งบประมาณประจำปี 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้เงินกู้ในการเยียวยาสถานการณ์โควิด-19